เด็กบังเอิญ

"...บทความต่างๆ ผมได้อ่านมาจากหนังสือต่างๆ และรวมรวมมาจากเว็บต่างๆด้วยและได้ยินมาด้วย ผมจึงรู้สึกว่า คำเหล่านี้และบทความเหล่านี้ อาจช่วยให้ เราได้ข้อคิดให้กำลังใจในการใช้ชีวิตบนโลกกลมๆใบนี้อย่างมีความสุขในสิ่งที่ดี งามสามารถหยิบเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยสมควรแก่ผู้สนใจครับ ... ขอขอบคุณทุกคน ณ โอกาสนี้ครับ...." ສະບາຍດີ (เด็กบังเอิญ...)

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปราการแห่งทิฏฐิ เสียดายคู่รักหลายคนไม่ได้อ่าน...บางครั้งอย่าปล่อยความคิดของของเราคิดเกินความจริง

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เวียดนาม
เป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรักที่บันทึกไว้ในข้อเขียนเรื่อง "เมตตาภาวนา : คำสอนว่าด้วยรัก" ของท่าน "ติช นัท ฮันท์ อ่านจบหลายครั้งก็ยังประทับใจ จึงอยากนำมาเล่าต่อชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ฝ่ายชายก็ถูกเกณฑ์ไปราชการสงคราม หญิงสาวไปส่งสามีจนสุดสายตา เขาหายไปในสงครามเป็นเวลากว่า 3 ปีจึงส่งข่าวคราวกลับมา เธอดีใจมากจูงมืออ้ายตัวเล็กไปรับผู้เป็นพ่อแต่เช้าตรู่ ทันทีที่พบกันทั้งสองโผเข้าหากัน สัมผัสไออุ่นจากกันและกัน นิ่ง นาน จนเกือบลืมไปว่ามีลูกชายตัวเล็กยืนจ้องตาแป๋วอยู่ผู้เป็นพ่อดีใจมาก ยื่นมือไปหมายกอดลูกชายแต่เจ้าหนูถอยกรูด แม่ปลอบว่า "อย่าตกใจ เจ้าหนูไม่เคยเห็นหน้าพ่อมาก่อนก็เป็นเช่นนี้แหละ" ทั้งสามเดินกลับมาตามทางจนถึงตลาด หญิงสาวขอตัวเข้าไปซื้อข้าวของสำหรับทำกับข้าวมื้อพิเศษ ชายหนุ่มมีโอกาสอยู่กับลูกชาย จึงขออุ้มเจ้าตัวน้อยอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ เท่านั้นยังไม่กระไร พอเจ้าลูกชายเริ่มพูดบางสิ่งบางอย่างเขาจึงรู้สึกได้ถึงที่มาแห่งปฏิกิริยาอันผิดปกติน้ "ไม่ใช่พ่อของหนู พ่อหนูมาหาแม่ทุกคืน พอแม่นั่งพ่อก็นั่ง พอแม่ยืน พ่อก็ยืน..."
เพียงไม่กี่คำเท่านี้เอง หัวใจของชายหนุ่มผู้เหนื่อยหนักมาจากสงครามอันแสนหฤโหดยาวนานก็พลันกระด้างยังกับแผ่นศิลา สักพักหนึ่งพอหญิงสาวเดินกลับมาจากตลาด เธอก็พบว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาไม่เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หากหน้าเธอเข้าก็ไม่ปรายตามองอีกต่อไป เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเย็นวันนั้น อาหารที่เธอบรรจงทำอย่างสุดฝีมือเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขาจืดสนิท ทั้งคู่เข้านอนแต่หัวค่ำ ต่างนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด เธอถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่เธอแวะไปซื้อของ เขาถามว่าเธอยังเป็นผู้หญิงคนที่เขาสุดรักอย่างจับใจคนเดิมอยู่หรือเปล่า ต่างคนต่างถามกันและกันในความมืด ทว่าเป็นการถามที่เงียบงำจนวังเวงเขาเย็นชากับเธอจากวันแรกจนถึงวันที่สาม ไม่มีการถามไถ่ ไม่มีการโอบกอดอันอบอุ่น ไม่มีการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีแม้แต่การปรายตามองกันและกันอย่างเต็มสองตาฉันสามีหนุ่มภรรยาสาว การณ์เป็นไปดังนั้นอยู่จนถึงเย็นวันที่สาม แล้วความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลง เธอตัดสินใจลาจากความระทมทุกข์ที่แม่น้ำสายหนึ่ง ทิ้งปมปัญหาทุกอย่างไว้ข้างหลังอย่างไม่ไยดีเย็นวันนั้นเขารู้ข่าวการจากไปของเธอด้วยน้ำตานองทั้งสองแก้ม เขาไปรับศพเธอมาบำเพ็ญกุศลอย่างเงียบๆในบ้านของตัวเอง มีเพียงเจ้าหนูเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขาจนดึกดื่น และคืนนี้ความลึกลับทั้งปวงก็ได้รับการคลี่คลายตะเกียงน้ำมันก๊าดที่จุดไว้บนโลงค่อยๆหรี่ลงจวนเจียนจะดับ เขาเติมน้ำมันแล้วจุดใหม่ เปลวไฟโชนแสงวูบวาบ เขาลุกเดินกลับไปกลับมา ขณะนั้นเองเงาของเขาทาบทอไปปรากฏยังฝาเรือน เจ้าหนูชี้ไปที่เงาพลางตะโกนลั่น "นั่นไง พ่อหนูมาแล้ว พอแม่นั่งพ่อก็นั่ง พอแม่ยืนพ่อก็ยืน คนนั้นแหละพ่อของหนู"ชายหนุ่มมองตามเจ้าหนู เห็นเงาของตัวเองทาบทออยู่ที่ฝา จึงเข้าใจขึ้นมาในนาทีนั้นเองว่า "พ่อ" ที่เจ้าหนูเอ่ยถึงก็คือ "เงา" ที่เห็นอยู่นี่เอง ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้วเธอ...คงรักเขามากสินะ ถึงขนาดสมมุติให้เงาตัวเองเป็นเขา แล้วบอกเจ้าหนูว่าเงาก็คือตัวเขา คือ "พ่อ"ที่หายไปในสงคราม โอ...ไม่น่าเลยความจริงนี้เจ็บปวดเกินไป เจ็บเกินกว่าหัวใจของคนธรรมดาจะรับไหว รุ่งขึ้นอีกวัน เขาชดใช้ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของตัวเอง ด้วยการให้แม่น้ำเป็นตุลาการผู้พิพากษาชีวิตเขาอีกชีวิตหนึ่ง...เรื่องราวของเขาและเธอเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรักที่เล่าขานกันมาอีก นานนับนานวันนั้น หลังจากเจ้าหนูพูดถึง "พ่อ" ของตัวเองให้เขาฟังที่กลางตลาด หากเขาไม่หุนหันพลันแล่น มีสติสักนิดหนึ่ง ถามไถ่จากเธอว่า "พ่อ" คนที่เจ้าหนูพูดถึงคือใคร และหลังจากที่เขาเย็นชา ปิดปากเงียบสนิท หากเธอจะอาจหาญถามเขากลับไปว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอก็คงไม่ต้องเจ็บจนเกินเยียวยา และเขาเองก็คงไม่ต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถเช่นนั้นไม่ใช่เธอไม่รักเขา และไม่ใช่เขาก็ไม่รักเธอ หากทั้งเธอและเขาต่างรัก ต่างภักดีต่อกันอย่างสุดซึ้ง ความรักของคนทั้งสองบริสุทธิ์ งดงาม หมดจด จนกลายเป็นตำนานเล่าขานดังเรื่องราวของวีรบุรุษวีรสตรีผู้พิชิต ความผิดพลาดหากจะพึงมีบนเส้นทางแห่งรักแท้จนกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมของคนทั้งคู่เกิดจากเส้นบางๆของปราการแห่ง "ทิฐิ" โดยแท้หากทั้งเธอและเขา ยอมวาง "ทิฐิ" ลง แล้วหันหน้าเข้าหากันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ถามไถ่จากกันและกันอย่างให้เกียรติกันทั้งสองฝ่าย ไหนเลยจะต้องมาจำพรากทั้งที่ยังรักล้นใจเช่นนั้น รักเอย รักนั้นงดงาม บริสุทธิ์ อ่อนหวาน ไม่ใช่ความผิดของความรักหรอกจะบอกให้ ผิดที่ใจอันมากด้วย "ทิฐิ" ของทั้งคู่นั่นต่างหากปรารถนารักที่ยั่งยืนหมื่นปี อย่าให้มี "ปราการแห่งทิฐิ" มากางกั้นแค่นั้นพอ........
  ถ้าเขาทั้งสองยอมวางตัวตนของตนเองลง แล้วหลอมเป็นเราแล้วไซร้ถามความจริง เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิด...++

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


อ่านแล้วได้ข้อคิดดีครับ เอามาให้เพื่อนๆๆอ่าน *-*



ในสวนแห่งหนึ่ง ซึ่งอุดมไปด้วยดอกไม้ต้นไม้และแมลงนานาชนิด เขียวแก้ว หนอนผีเสื้อหนุ่มตัวหนึ่งเฝ้ามองเพื่อน ๆ ของมันกัดกินใบไม้ใบหญ้าด้วยความสงสัย พวกมันต้องกินเยอะ ๆ เพื่อที่จะได้ปั่นใยเป็นดักแด้ รอฟักตัวกลายไปเป็นผีเสื้อในต้นฤดูหนาวเดือนข้างหน้า แต่ถึงอย่างไรเขียวแก้วก็ไม่เคยเข้าใจเลย.... "ทำไมนะ หนอนอย่างพวกเราถึงต้องเสียเวลาเกือบทั้งชีวิตไปกับการพยายามเป็นผีเสื้อด้วย" 

:b41: ถึงแม้ผีเสื้อจะมีปีกสีสวยงามสะดุดตา แต่เมื่อเป็นผีเสื้อแล้วเราก็อยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง สู้เป็นหนอนสบาย ๆ ตลอดไปไม่ดีกว่าหรือ" เขียวแก้วรำพึงเสียงดังขณะเดินปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน คำกล่าวนั้นลอยไปเข้าหู เทาซาง หอยทากเฒ่าที่อาศัยอยู่มานานกว่าแมลงอื่น ๆ ทั้งหมดในสวน "จุ๊ ๆ ๆ เจ้าเขียวแก้ว ที่เจ้าพูดเช่นนั้นคงเป็นเพราะไม่เคยฟังตำนานผีเสื้อ เรื่องเล่าเก่าแก่ของบรรพบุรุษเจ้าสินะ มา.....ข้าจะเล่าให้ฟัง"

:b43: กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อตอนที่ท้องฟ้ายังเป็นเพื่อนกับสายลม ดวงอาทิตย์ยังครองคู่กับดวงจันทร์อยู่นั้น ในสวนแห่งนี้ก็มีแมลงหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ร่วมกัาน รวมทั้งหนอน 
บรรพบุรุษของพวกเจ้าที่เมื่อก่อนยังไม่ฟักตัวเป็นดักแด้หรือผีเสื้อใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะเกิดและเติบโตเป็นหนอนตัวสีเขียวตลอดชั่วอายุขัย ด้วยความที่มันมีตัวสีเขียวอ้วนดูน่าเกลียด และกระดืบไปมาอย่างเชื่องช้าอุ้ยอ้าย ทำให้แมลงตัวอื่น ๆ มองว่าหนอนเป็นแมลงชั้นต่ำ ที่ไม่น่าคบหาสมาคมด ้วย หนอนน้อยจึงต้องใช้ชีวิตอยุ่อย่างโดดเดี่ยว และต้องคอยหลบหนีจากฝูงแมลงอันธพาล ได้แก่ แมลงปอ ผึ้ง และเต่าทอง ซึ่งถือทิฐิว่าตัวเองมีปีกสามารถบินไปไหนมาไหนได้ จึงชอบข่มเหงรังแกเจ้าหนอนเป็นประจำ 
อย่างไรก็ตาม ในสวนยังมีดอกไม้แสนสวยดอกหนึ่งซึ่งมีเสียงอันไพเราะและความงามเป็นที่ชื่นชอบของแมลงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผึ้งแมลงปอ เต่าทอง ตัวต่อ และมด ต่างเข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ คอยชื่นชมดอกไม้มิได้ขาด แต่แมลงเหล่านี้ก็ไม่เคยรู้ว่า แท้จริงแล้วดอกไม้ร้องเพลงด้วยความทุกข์ที่มีอยู่ในใจ...ความโศกเศร้า ที่ซ่อนอยู่ภายใต้กลีบใบอันสวยงามซึ่งไม่มีแมลงตัวใดสังเกตเห็น เพราะดอกไม้จำเป็นต้องคงอยู่บนก้าน บนราก และบนดิน ทำให้มันไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้ ได้แต่เฝ้ามองแมลงทั้งหลายโบยบินไปในที่ต่าง ๆ และมองเกสรของมันที่ลอยล่องไปตามลมอย่างเสรี ดอกไม้ได้แต่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ว่าสักวันมันจะได้ออกไปมองเห็นโลกที่แปลกใหม่บ้าง

และแล้ว....เมื่อดวงอาทิตย์ผลัดเวรกับดวงจันทร์ ท้องฟ้าคว้าผ้าห่มดาวมาห่มนอน กลางคืนจึงเดินทางมาอีกครั้ง แมลงทั้งหลายต่างหลับไหลอย่างสบายอยู่ไม่ไกลจากดอกไม้ เจ้าหนอนได้ทีค่อย ๆ คลานออกมาจากพุ่มไม้เพื่อมาอาศัยนอนใต้ร่มเงาของดอกไม้ แต่ขณะที่หนอนน้อยกำลังจะพริ้มตาลง ก็มีหยดน้ำใส ๆ ตกลงมาบนหัว เมื่อหนอนเงยหน้าขึ้นมอง จึงรู้ว่านั่นเป็นน้ำตาของดอกไม้
"เธอร้องไห้ทำไมเหรอ" หนอนถาม ดอกไม้ก้มลงมองและตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนสีเขียวตัวใหม่
"เพราะฉันไม่อยากเป็นอย่างนี้..." ดอกไม้ตอบ "เธอเป็นดอกไม้ที่สวยออก แมลงทุกตัวต่างชื่นชมเธอ ฉันยังอยากเป็นเหมือนเธอเลย" หนอนตอบกลับดอกไม้
 :b43:

:b41: "ฉันอยากแลกความสวยงามกับขาของเธอ ที่สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ หรือปีกของพวกแมลงที่โบยบินไปบนท้องฟ้าได้ เพราะว่าฉันไปไหนไม่ได้เลย....ฉันอยากรู้บ้างว่า ที่ท้องฟ้าไกล ๆ นั่นมันมีอะไรอยู่" ดอกไม้เอ่ยพลางมองทอดสายตาไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างเศร้า ๆ 
เมื่อหนอนเห็นดังนั้น จึงพยายามหาทาองปลอบโยนดอกไม้ด้วยความที่มันไม่เคยมีเพื่อนจึงท่องเที่ยวตามลำพังไปในสถานที่ต่าง ๆ มากมาย และเพราะว่ามันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า หนอนน้อยจึงเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ของสถานที่ ๆ เคยผ่านมาเล่าให้ดอกไม้ฟัง ดอกไม้รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็มีหนอนตัวหนึ่งที่เข้าใจมัน และเมื่อได้ฟังเรื่องราวของหนอนก็ทำให้ดอกไม้รู้สึกเพลิดเพลินเหมือนได้เดินทางไปยังที่แห่งนั้นเช่นกัน ในคืนนั้น เสียงหัวเราะของหนอนกับดอกไม้ก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าจนกระทั่งดาวยังอดอมยิ้มและกะพริบตาให้ไม่ได้ ดอกไม้ไม่เคยหัวเราะอย่างเต็มที่เช่นนี้มานานแล้ว ส่วนหนอนเองก็มีความสุขมากที่ได้ เป็นเพื่อนกับดอกไม้...เพื่อนตัวแรกในชีวิตของมัน
แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อแมลงปอ ผึ้ง และเต่าทองตื่นมาพบหนอนกับดอกไม้นอนหลับอยู่เคียงกัน ต่างก็ไม่ยอมรับในมิตรภาพของหนอนกับดอกไม้ เพราะถือว่าดอกไม้เป็นสิ่งสวยงามซึ่งหนอนที่ตัวอ้วน เชื่องช้า และน่ารังเกียจไม่สมควรมาเทียบชั้นคลุกคลีด้วย แมลงอันธพาลจึงพยายามขับไล่หนอนออกไปจากดอกไม้ จนกระทั่งหนอนตกลงมาจากกิ่งไม้ที่สูงชัน กระแทกพื้นดินและถึงแก่ความตาย 


:b19: :b2: ดอกไม้โศกเศร้ามากมันร้องไห้อย่างหนักจนกลีบดอกร่วงโรยลงมาทีละใบ ๆ บนร่างไร้ชีวิตของหนอน เมื่อกลีบของดอกไม้ร่วงโรยไปจนหมด ดอกไม้จึงไม่หลงเหลือความงามอะไรอีก มันเอนก้านลงมาซบบนร่างของหนอนและตายตามไปด้วย 

หลังจากความตายของหนอนกับดอกไม้ สิ่งมหัศจรรย์จึงเกิดขึ้น เมื่อความรักและความฝันของหนอนและดอกไม้มารวมกัน ทำให้กลีบใบของดอกไม้กลายมาเป็นปีกอันสวยงามบนร่างของหนอน แล้วทั้งคู่จึงก่อนเกิดขึ้นมาใหม่เป็นผีเสื้อ ที่สวยงามและอิสระสามารถโบยบินไปได้ไกลแสนไกลตามที่ใจปรารถนานับแต่นั้นต่อมา เมื่อหนอนยังเป็นเด็ก ๆ จึงกัดกินใบไม้ และฟูมฟักตัวเองเป็นดักแด้เพื่อที่จะลอกคราบเป็นผีเสื้อ ตัวแทนแห่งจิตวิญญาณและความปรารถนาของหนอนกับดอกไม้ตราบจนทุกวันนี้


:b15: เขียวแก้ว นิ่งฟังเรื่องเล่าของ เทาซาง ตั้งแต่ต้นจนจบ หนอนผีเสื้อหนุ่มมีความรู้สีกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งโศกเศร้าและประทับใจ ระหว่างนั้นเทาซางมองเห็นบรรดาเพื่อนของเขียวแก้วส่วนหนึ่งที่ฟักตัวเป็นดักแด้นานแล้ว ค่อย ๆ แทงปีกสวยงามออกมาจากรังและบินอย่างร่าเริงจนลับตาไปในท้องฟ้า หอยทากเฒ่ายิ้มพลางถอนหายใจ

:b6: "เฮ้อ...แล้วพวกเขาก็ไปใช้ชีวิตอยู่อีกเพียงไม่กี่วันล่ะนะ เจ้าเขียวแก้ว หากแต่เวลาอันสั้นนั้นจะเป็นเวลาที่มีความสุขของพวกเขา"

:b29: เขียวแก้วหันมาสบตาแมลงชรานิดหนึ่ง แล้วมันจึงหันหน้าเดินกลับไปอย่างมั่นคง
"แล้วนั่นเจ้าจะไปไหนล่ะ หนอนหนุ่มเอ๋ย" เทาซางตะโกนถาม


:b18: "ผมก็กำลังจะไปกัดกินใบไม้ใบหญ้าให้อ้วน ฟักตัวเป็นดักแด้คอยเวลาที่จะได้กลายเป็นผีเสื้ออันสวยงามและโบยบินอย่างอิสระเพียงไม่กี่วันนะสิครับ ถามได้" หนอนหนุ่มตอบ

.....................................................
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
  บัวหิมะ
รูปภาพ
๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ.. :b41: 
วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น
>>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข
>>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...
>>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..
วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น
>>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง
>>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..
>>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..
>>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...
>>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...
วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว.. >>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..
>>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..
>>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..
>>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..
วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก.. :b41: 
>>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..
>>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..
>>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..
>>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...
>>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...
ดังนั้น..
ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..
จงพยายามคิดให้ใจสู้...
อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..
อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..
อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..
อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..
จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....
การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”...
................................................:b41:
บทความโดย..ชายน้อย...
ธรรมะไทย 
http://www.dhammathai.org

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555




รูปภาพ

เพราะคำว่า "เสียดาย.." จึงทำให้อ่านแล้วรู้สึกตั้งคำถามว่าเสียดายอะไร  แต่ว่าพออ่านแล้วก็เข้าใจอ้อเป็นแบบนี้นี่เองและเสียดายที่อ่านช้าไป.......   เตรียมเสบียงให้กับตัวเอง  ดังมีปริศนาธรรมที่ว่า  ๔ คนหาม  ๓ คนแห่ ๑นั่งแค่  ๒ คนพาไปนะครับ  เมื่อคุณหมดซึ่งปราณแล้วคุณจะเอาอะไรไปได้บ้าง ลองตรองดูเถิด ........ 

คุณดังตฤณนี้มีผลงานเล่ม๒ด้วยนะ  ผมยังไม่อ่านเหมือนกัน  ไม่อ่านก็จะไม่รู้ว่าเขาบอก ว่าเสียดายคืออะไร ......


จาก "เสียดาย คนตายไม่ได้อ่าน
คุณดังตฤณ
จากบทความที่หนักหน่วง หนักแน่นในพุทธศาสนา
เรียนรู้ถึงกฎแห่งกรรมอย่างจริงจัง  

ข้อขอบคุณหนังสือดีๆๆ ที่ทำให้ผมรู้อะไรหลายๆๆอย่าง  ...  ครับ. ยิ้มเปิดปาก 

น้อมเข้ามาหาตน



                                                    เคล็ดวิธี น้อมเข้าหาตน เพื่อเปิดใจ.
.

ทำไมเราอยากให้ผู้อื่นทำตามความคิดเราเสมอ
ทำไมเราจึงหงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียง่าย
ทำไมเรามักน้อยใจว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือรักน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ทำไมเราไม่ตั้งใจเรียน เรียนอะไรก็ไม่เก่ง



รู้มั้ย ทุกคำตอบพบได้ที่ต้นมะละกอ เมล็ดถั่ว ถ้วยกาแฟ 
ถุงขยะ ดอกไม้ ทาร์ซาน หรือแม้แต่หมากับไก่


"กุญแจใจ" หนังสือที่ช่วยไขความลับที่ซ่อนลึกในใจเราด้วยวิธีง่าย ๆ 
อย่างไม่น่าเชื่อ


...เพียงแค่อ่าน และนึกลองคิดตามถ้อยคำในหนังสือ
ทำให้ "กุญแจ (ใจ)" เล่มนี้ 



ขอเพียงแค่เรา "เปิดใจ" ให้ "กุญแจใจ
ไขประตูใจเข้าไป แค่นั้นเอง....
ขอขอบคุณ  จากหนังสือกุญแจใจ คุณสิริมตี  นิมมานเหมินท์ 



 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศนั้น พระองค์มักจะบันทึกทุกเรื่องราวลงในสมุดบันทึกส่วนพระองค์ จนได้รับการยกย่องให้เป็น "เจ้าฟ้านักสะสม" องค์ต้นแบบที่ทรงสะสมทุกเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้พบเจอลงในสมุดบันทึกส่วนพระองค์อย่างละเมียด หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าทุกครั้งที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ พระองค์จะโปรดการเขียนไปรษณียบัตรบอกเล่าเรื่องราวในระหว่างการเดินทางด้วยพระองค์เอง ดังจะเห็นได้จากไปรษณียบัตรที่ลงลายพระหัตถ์จ่าหน้าถึงพระองค์เองและส่งผ่านบริการไปรษณีย์กลับมายังปลายทาง ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต อย่างสม่ำเสมอ เมธินทร์ ลียากาศ ผช.ผจก.ฝ่ายการตลาดตราไปรษณียากร 
  "ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน   ... หนังสือให้อะไรดีๆๆ มากมายหากคุณได้อ่านอย่าใส่ใจหัวใจสีแดง
.......ขอพระองค์ทรงพระเจริญ.....





ออสการ์ ปิสโตริอุส นักวิ่งขาเทียมชาวแอฟริกาใต้สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักวิ่งพิการขาเทียมคนแรกที่ได้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก หลังจากแอฟริกาใต้เลือกเขาติดทีมวิ่งผลัด ๔ คูณ ๔๐๐ เมตรชายในลอนดอนเกมส์ ครั้งนี้ โดย ๕ วันก่อนหน้านี้ นักวิ่งวัย ๒๕ ปีรายนี้ เพิ่งแพ้ในการวิ่งรอบคัดเลือกประเภท ๔๐๐ เมตรชาย เพื่อคัดไปแข่งที่ลอนดอนเกมส์
ปิสโตริอุสทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า 'วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต เพราะจะได้ลงแข่งขันทั้งโอลิมปิก ลอนดอนเกมส์ ๒๐๑๒ และพาราลิมปิกเกมส์ ขอบคุณทุกคนที่เห็นผมเป็นนักกีฬาอย่างที่เป็น ขอบคุณพระเจ้า ครอบครัว เพื่อนฝูงและคู่แข่งขัน และกองเชียร์ทั้งหลาย' นักวิ่งเจ้าของฉายา 'เบลด รันเนอร์'รายนี้ เคยคว้าเหรียญทองในกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ๔ สมัย
วันนี้หากใครเหนื่อยใครท้อ จงดูเขาคนนี้เอาไว้ ชีวิตต้องมีความพยายามต้องสู้ คุณอย่าพ่ายแพ้ต่อชีวิตสู้ให้ถึงที่สุดแล้วฝันของคุณจะเป็นจริง  เป็นกำลังใจให้คนทุกคนครับ......   <------------->

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555




                  ปัญหาน้อยใหญ่โหมกระหน่ำซัดสาด
ยังสามารถตั้งหลักรับไว้ได้
ชาวสยามร่วมแรงเสริมแรงใจ
ก้าวยิ่งใหญ่ฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน
สามัคคีสร้างสุขปลุกระดม
ความตรอมตรมร้าวรวดไม่สุขสันต์
ความเสียหายแผ่กว้างอเนกอนันต์
ก็ดับพลันเมื่อพบสามัคคี
น้ำใจไทยยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ
มหาสมุทรเปรียบเปรยมาสุขี
น้ำจากฟ้าท่วมท้นไทยยังสามัคคี
สู้ชีวิตฝ่าวิกฤติไม่ทิ้งกัน
.

..............ขอขอบคุณบทกลอนจากคุณ  ธาริตา .............


ขวานนี้มีมาก่อนเราเกิด คือสิ่งประเสริฐที่มีบ้านเป็นของตน 
จะแยกไปทำไมไร้เหตุผล เราล้วนเป็นคนเป็นประชาชนไทย
แผ่นดินยามมีคนคอยยุแหย่ ระส่ำย่ำแย่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ
ถึงเวลาต้องร่วมแรงร่วมใจ ตักน้ำไปดับไฟด้วยหัวใจสามัคคี

รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหนก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเพณีไม่มีกีดกั้น เกิดใต้ธงไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย ท้องถิ่นแหลมทอง เหมือนท้องของแม่ เกิดถิ่นเดียวกันแท้เหมือนแม่เดียวกันใช่ไหม ยามฉันมองตาคุณ อบอุ่นดวงใจเห็นสายเลือดไทย ในสายตาบอกสายสัมพันธ์ ทะเลแสนงาม ในน้ำมีปลา พืชพันธุ์เกลื่อนตาตามไร่นารวงทองไสว สินทรัพย์มีเกลื่อนกล่น บรรพชนให้ไว้เราลูกหลานไทยจงร่วมใจรักษาให้มั่น แหลมทองโสภาด้วยบารมี ปกเกล้าเราไทยนี้ร่มเย็นเป็นศรีผ่องใส ใครคิดบังอาจหมิ่นถิ่นทององค์ไธ้ เราพร้อมพลีใจป้องหมู่ไทยและองค์ราชันย์ เนื้อเพลงรักกันไว้เถิด...

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
















วิชาเหมือนสินค้า

อันมีค่าอยู่เมืองไกล



ต้องยากลำบากไป
จงตั้งเอากายเจ้า

ความเพียรเป็นโยธา

นิ้วเป็นสายระยาง

ปากเป็นนายงานไป

สติเป็นหางเสือ

ถือไว้อย่าให้เอียง

ปัญญาเป็นกล้องแก้ว

เจ้าจงเอาหูตา

ขี้เกียจคือปลาร้าย

เอาใจเป็นปืนคม

จึงจะได้สินค้ามา

จงหมั่นมั่นหมายใจ

จึงจะได้สินค้ามา

เป็นสำเภาอันโสภา

แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบ

สองเท้าต่างสมอใหญ่

อัชฌาสัยเป็นเสบียง

ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง

ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคา

ส่องดูแถวแนวหินผา

เป็นล้าต้าฟังดูลม

จะทำลายให้เรือจม

ยิงระดมให้จมไป

คือวิชาอันพิสมัย

อย่าได้คร้านการวิชา


                              

เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง               เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน
               
ถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน

ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ

เพราะทำถูกพูดถูกทุกเวลา

ใจสกปรกมืดมัวและร้อนเร่า

เพราะพูดผิดทำผิดจิตประวิง

คิดดูเถิดถ้าใครไม่อยากตก

ให้ใจสูงเสียได้ก่อนตัวตาย


ย่อมเสียทีที่ตนได้เกิดมา

ถ้ามีครบควรเรียกมนุสสา

เปรมปรีดาคืนวันสุขสันต์จริง

ใครมีเข้าควรเรียกว่าผีสิง

แต่ในสิ่งนำตัวกลั้วอบาย

จงรีบยกใจตนรีบขวนขวาย

ก็สมหมายที่เกิดมาอย่างเชือนเอย


ເອາພາບມາໃຫ້ເບິ່ງສູ້ເດ້ອ........ຈ້າ

:b41:



:b41:





:b41:




:b41:

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ครั้งหนึ่งเมื่อมีคนถามองค์ดาไลลามะว่า อะไรเป็นเรื่องที่ท่านรู้สึกแปลกใจมากที่สุด เกี่ยวกับมนุษยชาติ ท่านตอบว่า

“มนุษย์เรานึ้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอยู่กับอนาคต เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาจะไม่มีวันตาย และแล้วเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง“











วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อยู่ให้เป็นสุข

                                                             ພໍ່ໃຈໃນສິ່ງທີ່ເຮົດ.... ກະສຸຂແລ້ວຈ້າ


                    พอเพียงในสิ่งที่ทำและมีความสุขแม้จะเหนื่อยหน่อยแต่พักแปบก็คงหาย
          เคยสังเกตุไหมบางครั้งของอย่างเดียวกันทำเหมือนกันแต่เราไม่มีความสุขมันเกิดเพราะ       อะไรล่ะ
มันอยู่ที่ใจเรานี้แหละพักใจกับความสุขเล็กๆน้อยๆแต่ก็ทำให้เรามีความสุขนะ   ความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้เป็นทุกข์หรือทำให้หมดทุกข์  และใจเป็นตัวสั่งการให้เกิดการกระทำขึ้นวันนี้คุณมีความสุขบ้างหรือยัง ......?              




ກາຮທີ່ເຮາຈະເຮົດຄວາມດີ ຄືອຫຍ້າຢຸ່ໃນສວນບໍ່ຄ່ອຍເຫົນມັນຍາວແຕ່ມັນກະເພິມທຸກມື້້ອ ກາຣເຮົດຄວາມບໍ່ດີຄືອຈັງຫິນຝນມີດເບິ່ງຄືອມັນບໍ່ສຶກຫຮອແຕ່ມັນກະສຶກຫຮອ   

ຈິຕໃຈເຈົ້າຄືອຈັງນ້ຳບຮິສູດ ແຕ່ໄຫລມາໄກລໂພ້ນກະເລຍມີຂີ້ດິນຂີ້ຝຸ່ນຂຶ້ນໃຫລມາໄກລແລ້ວພັກແນ່ກະໄດ໋ເດ້ອ ຈະໄດ໋ໃສຄືອເກ່າ..... ຢ່າຄິດມາກຫຼາຍ ບາງເຣື່່ອງມັນບໍ່ຂະນາດນິ້ນດອກຫວັງຍ່າງຫຼາຍວ່າເຈົ້າຄງສຳບາຍດີ


ลองพิมพ์ดู ฝึกหัดก่อนเข้าอาเซียน...

              """ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นแง่คิด"""




                  เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

                 เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

                 เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

                 เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ(perfectionist)

                 เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

                 เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงมีความหมาย

                 เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้ชีวิต

                 เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

                 เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

                 เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจนความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

                 เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

                 เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง

                 เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

                 เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

                 เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

                 เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

                 เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบว่าที่ "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

                 เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

                 เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

                 เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

ท่าน ว. วชิรเมธี