เด็กบังเอิญ

"...บทความต่างๆ ผมได้อ่านมาจากหนังสือต่างๆ และรวมรวมมาจากเว็บต่างๆด้วยและได้ยินมาด้วย ผมจึงรู้สึกว่า คำเหล่านี้และบทความเหล่านี้ อาจช่วยให้ เราได้ข้อคิดให้กำลังใจในการใช้ชีวิตบนโลกกลมๆใบนี้อย่างมีความสุขในสิ่งที่ดี งามสามารถหยิบเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยสมควรแก่ผู้สนใจครับ ... ขอขอบคุณทุกคน ณ โอกาสนี้ครับ...." ສະບາຍດີ (เด็กบังเอิญ...)

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555






                                     ຍິ້ມສູ້ເດ້ອ ... ເປົນກຳລັງໃຈໃຫ້ທຸກຄນເຂົມແຂົງ ❤ⓛⓞⓥⓔ❤



 เกิดเป็นคนต้องทนให้เขาด่า
จะทำดีทำบ้าเขาด่าหมด
ถ้าทำดีเขาด่าว่าไม่คด
ทำเลี้ยวลดเขาก็ด่าว่าไม่ตรง

ทำดีแล้วโดนด่า   ดีกว่าคนดีแต่พูดแล้วไม่ทำอะไรเลย สู้ๆๆนะ 
 แค่ลมปากคงไม่มากเท่าพายุมรสุม .....





                                              ງາມບໍ່ພາບນີ້ ເກົບຕກເລົກນ້ອຍ



"เมื่อไหร่ที่หยุดนิ่ง... เมื่อนั้นคุณกำลังถอยหลัง การไม่หยุดนิ่ง...
 คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ทุกสิ่งในโลกล้วนมีการเปลี่ยนแปลง... แม้แต่เวลายังเดินหน้าไม่มีหยุดอยู่กับที่  แล้วถ้าเราหยุดอยู่กับที่เราจะได้เดินไหม''




วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555





จงเลือกเดินทางที่ถูกต้องที่สุด... ทางเดินนั้นมีหลายทางให้เลือกเดินไม่ว่าทางนั้นจะขรุขระยากลำบากสักเพียงไรเมื่อคุ้นเคยแล้วก็จะรู้สึกว่ามันราบเรียบเดินสบาย อย่าใส่แต่รองเท้าอย่างเดียว  ลองถอดรองเท้าบ้างจะได้รู้สึกและเรียนรุ้ในระหว่างที่เดินว่ามันต่างกันอย่างไร ???.............


ความรู้มาจากการศึกษา ความเข้าใจได้จากประสบการณ์  สติปัญญาเกิดจากการไตร่ตรองใช้โยนิโสมนสิการอย่างแยบคาย.....
3 สิ่งประสานรวมในหนึ่งสมอง คนๆนั้นคือ "ผู้สมบูรณ์แบบ"    ไม่มีศิลปะ หรือศาสตร์ใดๆ ที่เราจะรู้ได้โดยมิต้องร่ำเรียน....แม้แต่การใช้ชีวิตก็ต้องเรียนรู้  ความรู้บางอย่างในโรงเรียนไม่มีสอนหรอก มีแต่เราค้นคว้าหาเรียนเอง......


...คนที่นอบน้อมเพียงไร... ย่อมเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้น...


"หากปราศจากความกระตือรือร้น
ย่อมไม่อาจทำสิ่งใดใด้สำเร็จ"
...ความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของเราไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่สามารถลุกขึ้นได้ทุกคร้งที่เราล้ม
 .ก่อนที่สวรรค์จะมอบภาระหนักอึ้งมาให้เราทุกคนต่างก็ถูกทดสอบความวิริยะอุตสาหะเป็นอันดับแรกบางครั้งต้องทนหิว ร่างกายก็อ่อนแอ สับสนภายในใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมจนเราแข็งแกร่งพร้อมเผชิญอุปสรรค เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต

สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของคนเรา คือ ชีวิต และเราจะเป็นเจ้าของชีวิตได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น"
...คุณจะไม่มีวันได้สิ่งที่คุณพอใจ... จนกว่าคุณจะได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่คุณมี...

...อย่าปล่อยให้ชีวิตเป็นไปอย่างไร้จุดหมาย...  ผู้ที่มีชีวิตอยู่แต่ไม่ยอมต่อสู้ชีวิต คือ... ศพเดินได้...

...อุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดของความสำเร็จ ก็คือ... การล้มเลิกกลางคัน...

 ขอขอบคุณบทความจาก  
รังสรรค์ดินก้อนน้อยเรียงร้อยสู่เพชรเม็ดงาม

เรื่อง เหตุผลของลูก
แม่ถามลูกว่า \"โตขึ้นลูกๆ อยากเป็นอะไรจ๊ะ\" ลูกชาย 1 : ทหารครับ จะได้ป้องกันประเทศชาติ ลูกชาย 2 : อยากเป็น คุณหมอครับแม่ จะได้รักษาคนไข้
แม่ : ดีดีดี แล้วลูกสาวแม่ล่ะอยากเป็นอะไร ลูกสาว : อยากเป็นคนใช้ค่ะแม่
แม่ : (เกิดอาการงงสุดขีด) ทำไมอยากเป็นคนใช้ล่ะลูก
ลูกสาว : หนูอยากให้คุณพ่อกอดหนูนานๆ บ่อยๆ ค่ะ


อุ่นใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม
อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตระกอง
รักเจ้าจึงปลูก รักลูกแม่ย่อมห่วงใย
ไม่อยากจากไปไกล แม้เพียงครึ่งวัน
ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา
ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพัน

อิ่มใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม
อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มรักลูกหลับนอน
น้ำนมจากอก อาหารของความอาทร
แม่พร่ำเตือนพร่ำสอน สอนสั่ง
ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามีพลัง
ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป

ใช่เพียงอิ่มท้อง
ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น
อุ่นไอรัก อุ่นละมุน
ขอน้ำนมอุ่นจากอกให้ลูกดื่มกิน         
  ( สองมือที่ดูนิ่มนวลอ่อนโยน สองมือที่ดูช่างบอบบางอย่างนั้นสัมผัสอันห่วงใย  อ้อมกอดพ่อแม่อบอุ่นที่สุด)



ชีวิตคือ... การเรียนรู้การก้าวเดินคือการสัมผัสความรู้สึก เดินอย่างมีเป้าหมาย
พื้นแผ่นดิน เริ่มจาก ผงธุลี
มหานที เริ่มจาก ละอองน้ำ
ไร้การเริ่มต้นก็ไม่มีการลงท้าย
ความหวังย่อมสูญสลาย
ถ้าไร้การกระทำที่เหมาะสม กลมกลืน

เมื่อตื่นขึ้นรับรู้วันใหม่
จงตั้งใจเริ่มต้นเรียนชีวิต และโลก
สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์
จะตายด้าน ล้าสมัยอยู่ไยกัน
เริ่มต้นไตร่ตรอง แล้วเริ่มต้น
สันโดษ อีกด้วยอดทน
หวังผลโดยไม่ยึดถือ
การมีชีวิตก็คือการเริ่มต้น

   by  .happy

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”
ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ
ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ
ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ
ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน
ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ…

บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย.. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…………
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก…
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น…….
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
และเวลานี้….
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า….สักวันหนึ่ง…..วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้


อย่าพึ่งคิดไปเอง ว่าเขาไม่สนใจ เสียดายหลายคนไม่ได้อ่าน
คนที่เรามองไม่เห็น
มีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ
ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง
และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น
แต่สามีเธอก็พยายาม ปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด
พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น
ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทาง
แต่เขาก็ขับรถไปส่ง และไปรับอยู่เสมอ
จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก
เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง
โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม
นาทีนั้น เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ
แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ
เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง
จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้
วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ
คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า
ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ
เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร
คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า…
สามเดือนที่ผ่านมา
ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า
มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย
และตามคุณลงรถไป
และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย
และตอนเย็นทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ
และคอยดูคุณจนคุณลงรถ
พอเธอได้ยินดังนั้น…
เธอก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน และสำนึกผิด
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน
เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด
เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก
เธอหวนนึกถึงคำพูดเขาที่บ่นลอยๆ ออกมาบ่อยๆ ว่า
ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ
ดูอย่างคุณสิ เมื่อวานยังมองเห็นวันนี้คุณมองไม่เห็นแล้ว
เธอคิดน้อยใจเขามาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่าเขาเบื่อ
รำคาญการเป็นคนตาบอดของเธอ
ณ วันนี้เธอรู้แล้วว่า เขากลัวว่าวันนี้พรุ่งนี้เขาจะตายไป
แล้วเธอจะไม่สามารถไปไหนมาไหนหรือมีชีวิตอยู่เองได้ถ้าขาดเขา  


การทำงานด้วยความรัก และพอใจ
ย่อมได้ผลงานอันน่าภาคภูมิใจ
แต่อย่าให้ความภูมิใจ
เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
การพัฒนา และสร้างสรรค์ผลงาน
จะได้ผลดียิ่ง
ถ้าใช้ปัญญา ความกล้า และวิธีการที่เหมาะสมกับตน
ในข้อแม้ที่ต้องใจกว้าง และรู้จักการรอจังหวะที่เหมาะสม
ทำงานให้สุดความสามารถ
ใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็น
ทรัพย์เหลือบริจาคให้เพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้
เวลาที่เหลือใช้ช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยาก
นี้แลวิธีการอยู่รอดร่วมกัน
รอยยิ้มเป็นปฐมฤกษ์ของการช่วยเหลือ
ทั้งแต่ตน และคนอื่นๆ

ผู้ที่เติบโตเต็มที่แล้ว
ย่อมไม่หลั่งน้ำตาเพื่อตนเอง
ยามที่ชีวิตพบกับความทุกข์ทรมาน
และพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่ออุปสรรคของชีวิต
ความกล้าหาญที่แท้จริง
มิใช่กล้าพลีชีวิต
แต่ต้องกล้าที่จะอยู่เพื่อสู้ต่อไป
ไม่มีใครไม่เคยผิดหวัง
คนโง่เท่านั้นที่จะซ้ำเติมตัวเองในยามผิดหวัง
สุนัขยังไม่ซ้ำเติมตัวเอง
ที่ต้องเกิดมาเป็นสุนัขขี้เรื้อนข้างถนน
เมื่อพลาดพลั้งหกล้ม
ควรหรือที่จะนั่งร้องให้
จงรีบลุกขึ้น
เพื่อที่จะเดินต่อไปอย่างไม่ประมาท
ชีวิตที่เข้าถึงความมั่นคง
ก้าวหน้าไปโดยรู้ถึงความไม่แน่นอน
สู้ต่อไปนะ  เพราะชีวิตคือชวิต.....

ตึกเซนต์หลุยมารี แผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539  ความรักที่ยิ่งใหญ่ อ่านแล้วซึ้ง...
เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้
เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…
วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่งมีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …
มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…
ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วยกำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันทีท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …
แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ
มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า
มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”
มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ
มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ
ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด
หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….
“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”
yoyobay




พุทธทาส"การงานทำให้เคารพตัวเอง"‏การทำงานทำให้เกิดการเคารพนับถือตัวเอง คนที่ไม่เคารพตัวเองก็ใช้ตัวเองไปทางเลวทางต่ำถ้าเคารพตัวเองมันก็ทำตัวเองไปในทางดีทางสูงจนยกมือไหว้ตัวเองได้"ธรรมะคือระบบการดับทุกข์"‏ความรู้และการปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้นั่นแหละคือธรรมะไม่ใช่เสียงที่สวดท่องหรือตัวหนังสือที่อยู่ในกระดาษเพราะนั่นเป็นเพียงบันทึกของธรรมะ"สลัดทิ้งความยึดถือ"‏ความทุกข์มันเกิดที่จิตใจ

พุทธทาส"การทดแทนบุญคุณบิดามารดา"‏บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูกจะต้องเชื่อฟัง ต้องยอมให้ทุกอย่างถ้าบิดามารดาเป็นคนชั่ว เราก็ควรอุตส่าห์ทนยากลำบากพูดจาให้บิดามารดาละสิ่งเหล่านั้นเสีย"รู้จักรักพี่รักน้อง"‏แม่เขาเอากฎเกณฑ์ที่มีแต่เดิมว่าน้องนั้นเอาเปรียบพี่ได้ แต่พี่เอาเปรียบน้องไม่ได้ นี่แม่เขาอบรมมาเพื่อให้รักน้อง นี่ความรักพี่รักน้อง มันละเอียดลออขนาดนี้     "อยู่ร่วมกันต้องพึ่งพากัน"&....

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555




บทความนี้ท่านอ่านแล้วท่านได้ความคิดอะไรบ้างความจนไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้อีกต่อไป  อ่านให้จบนะจะได้อะไรมากกว่าที่คิด  .....

ดร.เอมเบดการ์ หรือชื่อเต็มของท่าน คือ บาบาสาเหบ พิมเรา รามจิ เอมเบดการ์ เกิดในวรรณะจัณฑาล ซึ่งยากจนที่สุดตระกูลหนึ่งของอินเดีย ในเมืองนาคปูร์ รัฐมหาราษฎร์
    ในวัยเด็กท่านมีชื่อเรียกสั้นๆว่า “เด็กชายพิม” แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่บิดาก็พยายามส่งเสียจนจบชั้นมัธยมได้สำเร็จ แต่ในระหว่างที่เรียนนั้น พิม ต้องเผชิญหน้ากับความดูหมิ่นเหยียดหยามของทั้งครู และนักเรียนซึ่งเป็นคนในวรรณะสูงกว่าเสมอ เช่น เมื่อเข้าไปในห้องเรียน ทั้งครูและเพื่อนๆ จะแสดงอาการขยะแขยง รังเกียจ ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปนั่งบนเก้าอี้ในห้องเรียน ต้องปูกระสอบแอบนั่งเรียนอยู่ที่มุมห้อง แม้เวลาจะดื่มน้ำ ก็ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดที่จะไปจับต้องแท็งก์น้ำ หรือแก้วที่วางอยู่ (ต้องขอร้องเพื่อนๆที่พอจะมีความเมตตาอยู่บ้าง โดยจะคอยแหงนหน้า อ้าปาก รอให้เพื่อนเทน้ำลงใส่ปากให้) เพื่อป้องกันเสนียดจากคนต่างวรรณะ ซึ่งเป็นความน่าเจ็บช้ำใจยิ่งนัก อะไรจะรังเกียจขนาดนี้หวัเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยคงไม่มีนะ
    จนกระทั่งมีครูคนหนึ่ง อยู่ในวรรณะพราหมณ์ แต่เป็นผู้มีความเมตตาผิดกับคนในวรรณะเดียวกัน เกิดจิตคิดสงสาร บางครั้งครูท่านนี้ก็จะแบ่งอาหารของตนให้กับพิม ครูท่านนี้คิดว่า เหตุที่พิมถูกรังเกียจ เพราะนามสกุลของเขา บ่งชี้ความเป็นจัณฑาล คือ "สักปาล" ครูท่านนี้จึงได้เอานามสกุลของตน เปลี่ยนให้กับพิม โดยแก้ที่ทะเบียนโรงเรียน ให้ได้ใช้นามสกุลว่า "เอมเบดการ์" พิมจึงได้นามสกุลใหม่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้หลายคนคิดว่าพิม เป็นคนในวรรณะพราหมณ์ไปเลยก็มี
    ในขณะนั้น มหาราชาแห่งเมืองบาโรดา ปรารถนาจะยกระดับการศึกษาแม้คนระดับจัณฑาล จึงได้มีนักสังคมสงเคราะห์พาพิม เอมเบดการ์ เข้าเฝ้า พระองค์ทรงพระราชทานเงินทุนในการศึกษาต่อ ทำให้พิมสามารถเรียนจนจบปริญญาตรีได้ ต่อมาพระองค์ ยังทรงคัดเลือกนักศึกษาอินเดียซึ่งรวมถึงพิม ให้ไปเรียนต่อยังมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ที่นี่ พิมได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า “อิสรภาพ และ ความเสมอภาค” ไม่มีคนแสดงอาการรังเกียจเขา พิมเรียนจนจบการศึกษาขั้นปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ได้เป็นเนติบัณฑิตแห่งอังกฤษ และได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ทางด้านกฎหมาย จนมีชื่อว่า “ดร.พิม เอมเบดการ์”
    หลังจาก ท่านเดินทางกลับมาอินเดีย ก็ได้พยายามต่อสู้เพื่อคนวรรณะเดียวกัน และกับความอยุติธรรม ที่สังคมฮินดู ยัดเยียดให้กับคนในวรรณะต่ำกว่า ท่านมีผลต่อความเคลื่อนไหวหลายๆอย่างในอินเดียขณะนั้น เช่น เป็นจัณฑาลคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คอยช่วยคนวรรณะต่ำที่ถูกข่มเหงรังแก หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราช ก็เป็นผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญของอินเดียด้วย 







การขึ้นบันไดแต่ละขั้นนั้นมีความท้าทายในตัวขั้นแรกเราก้าวผ่านได้ และเราจะก้าวต่อไปเรื่อยๆและบันไดก็สูงเรื่อยๆเหมือนกัน การศึกษาก็เช่นเดียวกันหากคุณมีจุดมุ่งหมายในขีวิตจุดเริ่มต้นของคนก้าวหน้า  ก้าวหน้านะไม่ใช่ก้าวหลัง  อยู่ที่คำว่าเราต้องทำได้  เราต้องเป็นได้  จะทำให้เรามีพลังคุณอย่าพึ่งสร้างกำแพงในใจคุณว่า  เราทำไม่ได้หรอก  เราเป็นไม่ได้หรอกคุณทำสุดความสามารถแล้วหรือยัง...
สิ่งกีดขวางในโลกที่ว่ายิ่งใหญ่ยังพังลงง่ายกว่า......... กว่ากำแพงใจเราสร้างมากั้นความคิดของเราเอง
จงมีศรัทธา และความกล้าจะก้าวเดิน  สู้ๆๆๆๆๆๆๆนะ...






      หากเรารู้จักเดินโดยปัจจุบันเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่อยู่ในความฝันมากเกินไป ความมีสติย่อมเป็นแนวทางให้เราก้าวไปอย่างมีความสุข    ได้ด้วยความเชื่อมั่น
คำนินทาคนนั้นหากเขาพูดแล้วเราเก็บเอาเฉพาะส่วนที่ดีในคำพูดไปใช้ก็มีประโยชน์ แต่เก็บคำที่เสียดสี ว่าร้ายไปคิดก็ไม่มีประโยชน์มีแต่ผลร้ายจะตามมา จะทำให้เราเจ็บปวด คิดมากเกิดความเครียด อาฆาตพยาบาทขึ้นได้......


มีกลอนสุนทรภู่บทหนึ่งจากเรื่องพระอภัยมณีว่าไว้ว่า....

อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แค่องค์พระปฎิมายังราคิน
คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา



บางตอนจากนิราศภูเขาทอง

ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์

มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา



บางตอนสุภาษิตสอนหญิง......


จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึ้งขึ้นมึงกู
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด















                 .จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา 










































วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555







  การตั้งความหวัง คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
   การพยายาม คือการเสี่ยงกับความล้มเหลว
   แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะในสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ
   การไม่เสี่ยงอะไรเลย








อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง 
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ 
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน 
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า 
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร 
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น 
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป 
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ 
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง .



 คนเรา 
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง 
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น 
ที่ได้ทำ .

ล้มทั้งยืน ดีกว่าล้มไม่เป็น




วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555







          การตรวจสอบความจริง ต้องทุ่มเททุกสิ่งในชีวิตลงในแก้วแห่งความสงสัยเพื่อสังเกตการณ์







          เรอเน่  เดการ์ตส์

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555


อนาคตยังอีกไกล

ฝันไว้อย่างไรขอให้ไปให้ถึง
ในยามท้อยังมีเราอีกคนหนึ่ง
เราคนนี้ซึ่งคอยให้กำลังใจ
แต่ละคนต่างก็มีฝัน
จะต่างกันก็ตรงที่จุดหมาย
สิ่งที่ฝันใช่ว่าจะไปถึงได้ง่ายดาย
ยังต้องการกำลังใจจากหลายคน



หนื่อยบ้างไหมที่เดินมาถึงวันนี้
อาจอ่อนล้าเบื่อบ้างเป็นบางที
อย่าท้อเลยคนดีขอให้ทน
อนาคตสดใสในภายหน้า
กำลังมาตามเวลา อย่าสับสน
แม้อาจเคยผิดหวังกับบางคน
จะผ่านพ้นไปได้ในสักวัน
อนาคตเป็นอย่างไร ใครจะรู้
แต่ให้สู้เพื่อไปสู่สิ่งที่ฝัน
แม้เวลาอาจพาใจให้ลืมกัน
สำหรับฉันไม่มีวันจะเปลี่ยนไป
หากเธอหาแห่งใดเป็นที่พึ่ง
ยามเมื่อถึงจุดหนึ่งซึ่งหวั่นไหว
ยังมีฉันคนนี้นะคนไกล
คนที่เป็นคนใกล้ทีไกลเธ










ความรักที่แท้นั้นต้องลอยอยู่เหนือความเห็นแก่ตัวต้องไม่กลัวที่คนอื่นเขาจะไม่รักตน
แต่ขอแค่ได้เป็นคนที่รักคนอื่นอย่างซื่อสัตย์ ต่อหัวใจตัวเอง
จงหนักแน่นเหมืนดิน   เยือกเย็นเหมือนน้ำ 
อ่อนน้อมเหมือนลม    และมีพลังเหมือนไฟ