เด็กบังเอิญ

"...บทความต่างๆ ผมได้อ่านมาจากหนังสือต่างๆ และรวมรวมมาจากเว็บต่างๆด้วยและได้ยินมาด้วย ผมจึงรู้สึกว่า คำเหล่านี้และบทความเหล่านี้ อาจช่วยให้ เราได้ข้อคิดให้กำลังใจในการใช้ชีวิตบนโลกกลมๆใบนี้อย่างมีความสุขในสิ่งที่ดี งามสามารถหยิบเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยสมควรแก่ผู้สนใจครับ ... ขอขอบคุณทุกคน ณ โอกาสนี้ครับ...." ສະບາຍດີ (เด็กบังเอิญ...)

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปลดปล่อย

ขอให้เธอเป็นอิสระจากอดีต
อดีตก็คืออดีตที่ผ่านไปแล้ว
----------------------------

ปลดล็อค ปลดเปลื้อง ปมสารพันปัญหาจากอดีต
คลี่คลาย สลาย ความติดยึดจากอดีต
ขอเสนอบางวิธี..............................
ในดูแลจัดการกับความทรงจำที่ไม่พึงใจ..ดังนี้

----------------------------

ให้เวลาอยู่กับลมหายใจสักระยะหนึ่ง
แล้วค่อยย้อนถึงเรื่องที่เราต้องการจะคลี่คลาย
หรือจะหยิบเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาพิจารณาก็ได้


1.ตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลในตัวเอง
อย่างน้อยสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต
ก็ทำให้เราเป็นเรา ณ ทุกวันนี้

2.ลองมองหาประโยชน์จากเรื่องนั้นๆ
ลองทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นให้บทเรียนอะไรแก่เราบ้าง

3.บางเรื่องเป็นสิ่งที่เห็นชัดว่าเกิดจากตัวเราเอง
เมื่อเรา''เข้าใจตัวเองในจุดนั้น''
ก็เท่ากับเราได้เรียนรู้ ได้เติบโตขึ้น

4.บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
เมื่อเรา''ยอมรับสถานการณ์นั้นได้''
ก็เท่ากับเราได้เรียนรู้ ได้เติบโตขึ้น

5.เมื่อรู้แล้วว่าการกระทำใดส่งผลอย่างไร
ก็ให้เลือกทำสิ่งที่เราไตร่ตรองแล้วว่าจะเกิดผลดี
การลด ละ เลิกนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ให้ได้ผลจริงๆ
- - - จะต้องใช้ความกล้า บางเรื่อง - - -
ทำได้ทันที ทำได้ง่าย ทำได้เลย
บางเรื่องเป็นนิสัยที่เป็นความเคยชิน
ก็จะต้องใช้ความพยายาม มุ่งมั่น และต่อเนื่อง
คือต้องเอาจริงเอาจังจึงจะทำสำเร็จ

6.หากเป็นภาพที่นึกทีไรแล้วรู้สึกไม่ดี
ก็ให้ลองหยุดภาพนั้น ลองเคลื่อนภาพนั้นให้ไกลออกไป
จะรู้สึกได้ว่าความรู้สึกไม่ดีลดลงตามไปด้วย
หากเป็นภาพสถานการณ์ที่เราเป็นร่วมแสดง
ก็ลองหยุดและถอยออกมาเป็นผู้ดูสถานการณ์นั้น
จะรู้สึกได้ว่าเราไม่ได้เจ็บ
หรืออินไปกับเรื่องนั้นเท่ากับเราไปเล่นเอง
หากมีภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง
ความโกรธ เกลียด เกิดขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ก็ให้ลองแผ่เมตตา
ส่งความรักความปรารถนาดีไปให้เหตุการณ์นั้น
อาจใช้สีขาว สีทอง สีม่วงหรือสีเขียว
แทนความรักความเมตตาจากใจ
ส่งแสงแห่งรักนั้นส่องสว่างคลุมภาพนั้นทั้งหมด
จะรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์นั้นคลี่คลายไปทางที่ดีขึ้นมาก

7.เรื่องที่เรารู้สึกว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย
แต่ความจริงคือได้เกิดขึ้นไปแล้ว
และได้ผ่านไปแล้ว ก็ขอให้ตระหนักว่า...
สิ่งที่เราควรจะทำกับเรื่องนี้คือการไว้อาลัย และปล่อยไป

8.ชีวิตคือแหล่งหลอมรวมประสบการณ์ที่หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ล้วนแต่มีบุญคุณต่อเรา
...หากรู้สึกเช่นนี้ได้ก็ควรรู้สึก"ขอบคุณ"ในทุกๆประสบการณ์
แต่หากยอมรับได้แต่ประสบการณ์ที่ดี อย่างน้อย...
ก็ควรรู้สึกต่อประสบการณ์ที่ไม่ดีด้วยคำว่า...
"ไม่เป็นไร"หรือ"ช่างมันเถิด"

9.จิตใจและร่างกายมีส่วนที่สัมพันธ์กัน
"ปล่อยวางความคิดความเครียด...
พร้อมผ่อนคลายความเกร็งเครียดของร่างกาย"
จะส่งผลได้อย่างรวดเร็ว

10.ปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ปัญหาคือ...
ความคิดความรู้สึกข้องใจ เคืองใจ ตรึงใจ
ที่เราสร้างขึ้นมาต่างหาก
อดีตไม่ได้รอให้เรากลับไปแก้ไข
แต่เป็นการเข้าใจ เรียนรู้ และเปลี่ยนแปลง ณ ขณะนี้
----------------------------
อดีตก็คืออดีตที่ผ่านไปแล้ว
ขอให้เธอเป็นอิสระๆๆ







เตือน

ความเจ็บป่วย ไม่ใช่เวรกรรมแต่เป็นพฤติกรรม

ความเจ็บป่วย แม้จะรุนแรงแค่ไหน ก็คือสัญญาณดี ที่ร่างกายส่งมาเตือนให้เราเปลี่ยนนิสัย .. นอนดึกสะสม ไม่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ กินเหล้า สูบบุหรี่ สิ่งแวดล้อมไม่ดี รว
มถึง ความเครียด โกรธ หวาดกล้ว

คนป่วยแล้วโกรธ กลัว นวัตกรรมยา หรือหมอเทวดาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ .คนป่วยแล้วมีกำลังใจ เปลี่ยนพฤติกรรม ปรับนิสัย กลับมาได้ทุกคน


คิดบวก

สิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างคนที่คิดบวกกับลบก็คือ คนคิดบวกจะแสวงหาโอกาสอยู่ตลอด และเตรียมตัวพร้อมอยู่เสมอ เพราะมั่นใจว่าสักวันต้องมีโอกาส แต่คนที่คิดลบจะรอให้โอกาสวิ่งเข้ามาชน และแม้ว่ามีโอกาสขึ้นมาจริง ๆ เขาก็จะพลาดเพราะเตรียมตัวไม่พร้อม อัน
เนื่องมาจากการมองลบจนคิดไม่ถึง

หนทางแห่งโอกาสนั้นใช่ว่าจะปูด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป มีอุปสรรคขวากหนามเป็นระยะ ๆ คนที่คิดบวกเท่านั้นจึงจะสามารถฟันฝ่าไปถึงจุดหมายได้ เพราะเขาจะมองเห็นจุดบวกระหว่างทางเดินตลอดเวลา ในขณะที่คิดลบจะมองเห็นแต่อุปสรรค

เรามักจะคิดกันว่า โชคชะตาในอนาคตถูกกำหนดไว้แล้ว เป็นจุดที่อยู่นิ่ง ความจริงไม่ใช่ ทั้งโชคและโอกาสมีพลวัตอยู่ตลอดเวลา เหมือนผีเสื้อที่บินไปมา คนที่ประสบโชคหรือมีโอกาส คือคนที่มุ่งมั่นเพียรพยายามไขว่คว้าเท่านั้น

≈✿≈

“ฑันตแพทย์ สม สุจีรา”

คำสอนพ่อ

คำสอนพ่อ....”สอนลูกสาว”
ในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง... พ่อเรียกลูกสาวเข้าไปพบแล้วบอกลูกว่า 
พ่อมีอะไรจะให้ลูกดูซึ่งสำคัญมาก 
ว่าแล้วพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากลิ้นชักแล้วเอามือกำไว้ แล้วถามว่า  “อยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ” 
ลูกพยักหน้า 
“ถ้าอยากรู้ ต้องเอามือของลูกเขกพื้น 3 ทีก่อน” 
ลูกสาวทำตาม... 
พ่อว่า “ไม่พอ ต้อง 5 ที” แล้วเปลี่ยนเป็น “10 ที” แล้วอ้างว่า 
“ยังเขกพื้นไม่แรงพอ เขกใหม่อีก 10 ที” 
จนลูกอุทธรณ์ แต่พ่อก็ยังไม่ยอมแบมือให้ลูกสาวดู 
“ลูกต้องเขกแรงๆ 10 ทีก่อน จึงจะให้ดู” 
ความต้องการอยากดู ทำให้ลูกสาวทนเจ็บ ยอมเขกพื้น 10 ทีโดยดี 
เมื่อพ่อแบมือออกมา ในกำมือพ่อ มันก็คือ เหรียญ 10 บาทธรรมดานี่เอง 
พ่อมองหน้าลูกสาวด้วยความรัก พร้อมกับอมยิ้ม แล้วกำเหรียญ 10 
บาทในมือตามเดิม 
และถามลูกว่า ”อยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที” 
ลูกสาวหน้าเบ้ ร้องว่า “หนูรู้แล้ว ไม่อยากดูแล้วละค่ะ” 
พ่อพูดว่า “เอ้า... เขกพื้น 3 ทีก็ได้”   “ …เอ้า งั้นทีเดียว ก็ได้” 
ลูกสาวหัวเราะ พร้อมบอกว่า   “ก็ทราบแล้วนี่คะ ไม่อยากดูอีกแล้วค่ะ เบื่อ” 
พ่อต่อรองอีกว่า     “ให้ดูฟรีๆ ก็ได้นะ” แล้วก็แบมือออก 
แต่ลูกสาวก็ดูเหรียญในมือพ่ออย่างไม่สนใจ 
พ่อยิ้มอารมณ์ดี แล้วสอนลูกว่า


  “ นี่นะลูก อะไรๆที่เป็นความลับ คนมักจะยอมทำทุกอย่างเพื่อจะให้ได้ดู 

ให้สมปรารถนา อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองทำ แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ได้ดูแล้ว 

ก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรีๆ ยังไม่อยากจะดูเลย…..
  
สิ่งที่พึงหวงแหนของลูกผู้หญิงก็เหมือนกันนะ นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่มีค่ามาก 
ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างอะไรกับเหรียญ 10 
บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอกนะลูก




วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ใครจะรัก ไม่รัก จะชอบไม่ชอบเรา 
ไม่ได้ทำให้เราสุขหรือทุกข์มากขึ้น ถ้าเราไม่ให้ค่า 
แต่เพราะใจเรามันให้ค่า มันปรุงแต่ง
ถึงเกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมาในใจได้ 

คนที่รักใครมากกับเกลียดใครมาก 

มักทำในสิ่งเดียวกัน
คือเอาใจใส่ ติดตาม จับจ้อง
มองหารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
ที่คนทั่วไปไม่คิดแม้แต่จะสนใจใส่ใจ

เวลาจิตชอบกับไม่ชอบอะไร
มันจะทำในสิ่งคล้ายกันแบบนั้นแหละ
คือจะมีการเข้าไปแตะ ไปสัมผัสสิ่งนั้น
แม้จะด้วยแรงจูงใจที่ต่างกัน

จิตเราเวลายินดีพอใจอะไร
จะไขว่คว้าจะยึดอยากให้มันอยู่นานๆ
เวลาไม่ชอบไม่พอใจอะไร
จะผลักไสให้มันไปห่างๆ พ้นๆ
ทั้งสองอย่างต้องมีการ “สัมผัส” เหมือนกัน

ลองสำรวจดูใจตัวเองบ้าง
รู้เข้ามาบ่อยๆ ว่ามันทำอะไรอยู่
ถ้ามองย้อนเข้ามาทีไร
เห็นมันแบกอะไรไว้ทุกที ให้ดีใจไว้
เพราะยังไงๆจิตเราก็ยังต้องแบกอยู่
ยึดอยู่เป็นธรรมดา ถ้าเห็นแบบนั้นได้ เรียกว่าเห็นถูกแล้ว
และเพียงแค่รู้สึกตัว ใจมันจะรีบปล่อยรีบวางเอง
แม้จะชั่วคราวก็เหอะ

ไม่ต้องทำอะไรมากกว่าการรู้
ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องซ้ำเติมใจ
รู้ไป รู้ไป แล้วจะได้ของดีเอง
.
.
.
เหนื่อย หนัก รัก เกลียด รู้
โดย aston27
ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๔๒
14 MARCH 2012

ขุนเขา

ผู้รู้ท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว่ว่า " ธรรมะมีอยู่ทุกที่   ถ้าใครตาดีก็จะมองเห็น "    วันนี้พระอาจารย์เห็นขุนเขาเห็นธรรมะเช่นกัน

          (1)  ขุนเขานั้นหนักแน่นเป็นแก่นสาร   ไม่สะเทือนสะท้านเพราะแรงลม   เราทั้งหลายก็ควรทำตนให้เป็นฉันนั้น   กล่าวคือไม่หวั่นไหวเพราะคำชม  เพราะคำด่า

          (2)  ขุนเขาโดดเด่นเห็นแต่ไกล   เราควรฝึกตนให้เป็นคนที่อุดมไปด้วยความรู้   ความดีงาม   เพื่อจะได้มีชื่อเสียงโดดเด่นเห็นแต่ไกล

          (3)  ขุนเขานั้นเป็นแหล่งของพืชพันธุ์ธัญญาหารและต้นน้ำลำธาร   เราทั้งหลายก็ควรฝึกตนให้เป็นแหล่งของคุณงามความดีมากมาย

ถ้าเห็น  ขุนเขา  แล้วน้อมนำธรรมะของขุนเขามาพัฒนาตน   วันหนึ่งข้างหน้า   คนๆ นั้นก็จะเป็น ขุนเขา แห่งความดีได้เช่นเดียวกัน











โดย  พระอาจารย์ วุฒิชัย   วชิรเมธี....