เด็กบังเอิญ
"...บทความต่างๆ ผมได้อ่านมาจากหนังสือต่างๆ และรวมรวมมาจากเว็บต่างๆด้วยและได้ยินมาด้วย ผมจึงรู้สึกว่า คำเหล่านี้และบทความเหล่านี้ อาจช่วยให้ เราได้ข้อคิดให้กำลังใจในการใช้ชีวิตบนโลกกลมๆใบนี้อย่างมีความสุขในสิ่งที่ดี งามสามารถหยิบเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยสมควรแก่ผู้สนใจครับ ... ขอขอบคุณทุกคน ณ โอกาสนี้ครับ...." ສະບາຍດີ (เด็กบังเอิญ...)
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555
'คู่รักจะเอาใจใส่อีกฝ่าย ส่วนคู่เวรจะเอาแต่ใจตัวเอง'
...
'คู่เทียมเจอเมื่อไหร่ก็ได้
แต่คู่แท้ต้องเจอในจังหวะที่จะรักกันจริงเท่านั้น'
...
'ใจจริงไม่ได้เกิดจากความตั้งใจให้จริงเสมอไป
ถ้าคู่ยังไม่ใช่ ใจก็คงจริงยาก'
...
'รู้สึกว่าใช่ ไม่จำเป็นต้องใช่
โดยเฉพาะถ้าได้ความรู้สึกว่าใช่มาจากการเอาแต่มองด้านดีท่าเดียว'
...
'อำนาจที่ทำให้ลุ่มหลงส่งมาจากส่วนสกปรกตรงไหนของร่างกายก็ได้
แต่แรงบันดาลที่ทำให้รักจริงต้องมาจากกลางใจที่ใส่พอเท่านั้น'
...
'ความลุ่มหลงจะทำให้หน้าตาของเราโง่ลง
ส่วนการเห็นตามจริงจะทำให้หน้าตาฉลาดขึ้นเป็นคนละคน'
...
'คนเราตาบอดเพราะชอบทึกทักเอาเองว่าเห็นอะไรมา
ที่จะตาสว่างได้ก็เพราะยอมทบทวนดีๆ ว่ามีอะไรให้เห็นบ้าง'
...
'การจากกันบางครั้งดีกว่าอยู่กันไปเรื่อยๆ เพราะอาจเป็นทางเดียว
ที่ทำให้คุณค้นพบว่าเคยมีความรักอยู่ตรงนั้นขนาดไหน'
...
'สิ่งดีๆ ที่ผ่านไป อาจเปิดทางให้สิ่งดีกว่าที่กำลังจะผ่านเข้ามา'
...
'รักที่ตายได้คือรักแต่จะเอา
ส่วนรักอมตะคือรักการสละความเห็นแก่ตัว'
...
'เราอาจหลอกให้คนอื่นหลงรักได้ด้วยรูปภายนอก
แต่ไม่มีทางหลอกให้รักตัวเองได้เลย
ตราบเท่าที่รู้อยู่แก่ใจว่าภายในยังน่าเกลียดขนาดไหน'
แต่ไม่มีทางหลอกให้รักตัวเองได้เลย
ตราบเท่าที่รู้อยู่แก่ใจว่าภายในยังน่าเกลียดขนาดไหน'
...
'ความรักไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่ใจทั้งดวง เพราะหัวใจกว้างไม่ถึงคืบ
ขนะที่ความรักแผ่กว้างได้ขนาดครอบโลก'
...
'การเริ่มต้นของความรักที่ซับซ้อน อาจเหมือนปกหนังสือที่ดูดีหลอกตา
แต่เนื้อหาข้างในไม่ตรงกัน คุณจะงงเมื่อพยายามอ่าน
และปวดหัวจนไม่นึกอยากทนอ่านให้ถึงครึ่ง'
...
'ถ้าตัวอยู่ห่างแล้วยังรู้สึกอบอุ่นและไว้ใจกัน
ก็แปลว่าพวกคุณรักกันด้วยใจ ไม่ใช่หลงติดกันด้วยกาย'
...
'คนซื่ออาจพูดคำว่ารักได้ไม่เพราะ แต่ความรักของเขา
จะให้ความรู้สึกแสนดีกว่าการได้ยินคำว่ารักอันไพเราะร้อยเท่า'
...
'ถ้าดีใจเวลาเห็นใครเป็นสุข คุณอาจไม่จำเป็นต้องรักเขาเสมอไป
แต่ถ้าอ้างว่าคุณรักใครแล้วไม่ยินดีกับความสุขของเขา
แปลว่าคุณเห็นแก่ตัวและดีแต่พูดเท่านั้น'
...
'ความรักที่อภัยไม่ได้คือต้นทางของความเกลียด
ความเกลียดที่ถูกสละทิ้งได้คือต้นทางของความรัก'
...
'มีความสามารถในการผ่านรักร้าว
ดีกว่ามีความสามารถฝันถึงแต่รักแสนหวาน'
ดีกว่ามีความสามารถฝันถึงแต่รักแสนหวาน'
...
'คนที่เอาแต่คอยความรักจะไม่เจอความรักไปจนตาย
ส่วนคนที่เอาแต่สร้างความรักจะรู้จักความรักในสามวันเจ็ดวัน'
...
'อำนาจนัยน์ตาของคนที่รักคุณจริง
อาจทำให้คุณสงบลงได้ทั้งที่กำลังวุ่นวายสิ้นดี
แต่อำนาจนัยน์ตาของคนที่เอาแต่เรียกร้องให้คุณรัก
อาจทำให้คุณวุ่นวายสิ้นดีทั้งที่กำลังสงบอยู่แท้'
..
จากหนังสือ...ดังตฤณวิสัชนา ฉบับรู้จักรัก
✿≈♥You&Me
………………………….♥You&Me
……………………………♥You&Me
……………………………♥You&Me
…………………………♥You&Me
…………………….♥You&Me
………………♥You&Me
………….♥You&Me
………♥You&Me
…..♥You&Me
………….♥You&Me
………♥You&Me
…..♥You&Me
…♥You&Me
♥………………………..♥….♥You&Me
♥……………………..♥………..♥You&Me
♥………………….♥…………….♥You&Me
..♥……………….♥………………♥You&Me
…♥………………………………♥You&Me
…..♥…………………………..♥You&Me
……..♥…………………….♥You&Me
………..♥……………….♥You&Me
…………..♥…………..♥You&Me
………………♥…….♥You&Me
…………………♥..♥You&Me
…………………..
คนอื่นสร้างปัญหาให้เราได้ แต่สร้างทุกข์ให้เราไม่ได้นะ ทุกข์เป็นสิ่งที่เราสร้างเองด้วยความคิด เพราะเอามาคิดถึงได้ทุกข์
≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈✿≈
♥You&Me
มนุษย์เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ถ้าเราทุกข์และโถมทับความทุกข์ของเรา ไปให้กับคนรอบข้าง เขาก็พลอยได้รับความ ทุกข์ไปด้วย แต่ถ้าเรามีสุข เราก็เป็นเหตุ ปัจจัยที่ดีเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข ดังนั้นเราก็ต้องดูแลตัวเอง ความรักมันต้องเริ่มต้นที่ตั
วเองก่อน เราต้องมี ความอาทรในตัวเอง เรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเอง มีความสุข เพราะสุขของเราก็คือสุข ของคนอื่นๆ ด้วย เมื่อเรารักตัวเองเป็น ก็พร้อมที่จะไปรักคนอื่น
เมตตาภาวนา : คำสอนว่าด้วยรัก
ติช นัท ฮันห์ ,,,แปลโดย ธารา รินศานต์
เมตตาภาวนา : คำสอนว่าด้วยรัก
ติช นัท ฮันห์ ,,,แปลโดย ธารา รินศานต์
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ต่างคนต่างเดิน
ไม่มีการเดินทางที่ไหนไปสู่
แม้ว่าชีวิตจะเรียบง่าย และอยู่ในกรอบเท่าใดก็ตาม
เมื่อเราเริ่มเติบโต ชีวิตเริ่มที่จะเรียนรู้ และออกเดินทาง
ทางของชีวิตแต่ละคนแตกต่างกัน
... บ้างใกล้ บ้างไกล บ้างโรยด้วยกลีบกุหลาบ
และมีอีกไม่น้อยที่เต็มไปด้
วยขวากหนามและมีอีกไม่น้อยที่เต็มไปด้
เราอาจเดินทางมาเจอกันในวัน
หนึ่งและเดินไปด้วยกัน เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง
เราก็อาจจะจากกันตรงทางแยก
แยกกันไปตามหาฝัน ตามความปรารถนาของชีวิต
บางคนเกิดมาเพื่อที่จะเดินต
ามตามทางที่มีคนเดินนำไว้ ... แน่นอน
เส้นทางนั้นย่อมปลอดภัย
ผู้คนเดินตามกันเรียงรายไกล
สุดลูกหูลูกตาบางคนเกิดมาเพื่อผจญภัย
ค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ให้กับชีวิต อาจหลงเข้ารก เข้าพง
พบสิ่งตื่นเต้น แปลกใหม่ แต่เสี่ยงภัยมากกว่า
เขาอาจแผ้วถางทางเส้นใหม่นี้ให้คนก้าวเดินตาม
บนถนนสายนี้ที่เราเจอกัน
ฉันยังมองไม่เห็นทางแยก แต่ฉันรู้ว่ามี
เมื่อถึงทางแยกเราอาจจะเลี้
ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาไปด้วยกันก็ได้
ฉันยังไม่รู้ในชีวิตหนึ่ง ♥
ไม่มีอะไรงดงามเท่ากับการมี
เพื่อน และมิตรภาพเราไม่เดินนำ เราไม่เดินตาม เราจะเดินไปพร้อม ๆ กัน
บนถนนสายนี้ มีสะดุด มีหกล้ม มีกระแทกกันบ้าง
แต่เราก็ยังคงเดินร่วมทาง หากวันหนึ่งที่เราถึงทางแยก
และต้องแยกจากกันไปคนละทาง
อาจจะไม่ได้พบกันอีก หรือเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่
หากคิดถึงกัน ... ขอให้เดินกลับมาตามถนนสายนี้
ถนนแห่งมิตรภาพ ที่ถนนสายนั้นจะมีฉันรออยู่
เสมอ
░♥░L░I░F░E♥░I░S░♥░S░H░A░R░
I░N░G░♥░
~ ชีวิต คือ... การแบ่งปัน (◕‿-。)
- หมอก้อยพลังทิพย์
ทางฝัน
"กี่เส้นทางแห่งฝันหมั่นสืบเสาะ
เดินลัดเลาะตามมาหาความหมาย
กี่ก้าวล้มจนล้าซึ่งแรงใจ
ทำแสงไฟแห่งฝันนั้นหรี่ลง
จะก้าวย่างต่อไปในเบื้องหน้า
แม้จะช้าแต่ใช่ว่าลืมหลง
เฝ้าประคองสองเท้าให้มั่นคง
ตามไต่ตรงสู่ฝันอันแวววาว
เพียงยืนหยัดมุ่งมั่นพร้อมฟันฝ่า
ก้าวที่กล้าจะสิ้นความขลาดเขลา
อีกหมื่นแสนก้าวย่างทางสายยาว
หวังไต่ดาวไต่ฝันอันพึงมี"
❤---------------------------------❤
คำดลใจ♥
คำดลใจ♥จากคุณดังตฤณ ~*✿*~
• คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเห็น
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการมองให้ถูกจุด
• คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเห็น
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการมองให้ถูกจุด
• คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการฟังให้เข้าใจ
• คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการคิด
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้จักคิดให้ดี
• คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ถ้าอยากได้มิตร
ต้องคิดหาคําพูดกันมากหน่อย
แต่ถ้าอยากมีศัตรูก็ง่ายนิดเดียว
แค่พูดทุกคําที่คิดก็พอ
• ถ้าไม่เลือกคำพูดให้ดีหน่อย
พอเวลาผ่านไป
เขาจะจำได้แต่ว่าคุณด่าเขา
แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
• ถ้ามีใครพูดให้เจ็บใจ
จำคำนั้นไว้ด้วยความตั้งใจจะไม่พูดเสียเองในภายหลัง
แล้วคุณจะรู้สึกเจ็บน้อยลงทันที
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ลืมความรู้ถือว่าไร้ความสามารถ
ลืมคำด่าถือว่ามีความสามารถ
• คนที่ทำให้เจ็บใจคือเขา
คนที่เอาเขามาใส่ใจคือคุณ
• ห้ามคำพูดของตัวเอง
ก่อนหลุดปากนั้นง่ายยิ่ง
แต่ถอนความเจ็บใจ
ของคนอื่นหลังฟังคำบาดหูของเรานั้นแสนยาก
• บางทีการพูดความจริงให้น่าเชื่อ
อาจยากกว่า พูดให้คนเชื่อเรื่องโกหกเสียอีก
โดยเฉพาะถ้าความจริงนั้น
ดันไม่ตรงกับความเชื่อของคนฟัง
: เรื่องไหนจริง เวลาจะเข้าข้างเอง
• บางครั้งพูดให้ดีที่สุด ก็ฉลาดสู้นิ่งเงียบไม่ได้
• อย่าไปมองว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
ให้มองว่าเราติเพื่อก่อ หรือด่าเอามัน
เพราะนั่นแหละคือกรรมของเรา ที่เราต้องรับผล
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• คิดดี ก่อนจะเลือกคำพูดให้ดี
พูดดี แล้วทำตรงกับที่พูดเอาไว้
ดังตฤณ
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการฟังให้เข้าใจ
• คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการคิด
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้จักคิดให้ดี
• คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง
: แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ถ้าอยากได้มิตร
ต้องคิดหาคําพูดกันมากหน่อย
แต่ถ้าอยากมีศัตรูก็ง่ายนิดเดียว
แค่พูดทุกคําที่คิดก็พอ
• ถ้าไม่เลือกคำพูดให้ดีหน่อย
พอเวลาผ่านไป
เขาจะจำได้แต่ว่าคุณด่าเขา
แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
• ถ้ามีใครพูดให้เจ็บใจ
จำคำนั้นไว้ด้วยความตั้งใจจะไม่พูดเสียเองในภายหลัง
แล้วคุณจะรู้สึกเจ็บน้อยลงทันที
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ลืมความรู้ถือว่าไร้ความสามารถ
ลืมคำด่าถือว่ามีความสามารถ
• คนที่ทำให้เจ็บใจคือเขา
คนที่เอาเขามาใส่ใจคือคุณ
• ห้ามคำพูดของตัวเอง
ก่อนหลุดปากนั้นง่ายยิ่ง
แต่ถอนความเจ็บใจ
ของคนอื่นหลังฟังคำบาดหูของเรานั้นแสนยาก
• บางทีการพูดความจริงให้น่าเชื่อ
อาจยากกว่า พูดให้คนเชื่อเรื่องโกหกเสียอีก
โดยเฉพาะถ้าความจริงนั้น
ดันไม่ตรงกับความเชื่อของคนฟัง
: เรื่องไหนจริง เวลาจะเข้าข้างเอง
• บางครั้งพูดให้ดีที่สุด ก็ฉลาดสู้นิ่งเงียบไม่ได้
• อย่าไปมองว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
ให้มองว่าเราติเพื่อก่อ หรือด่าเอามัน
เพราะนั่นแหละคือกรรมของเรา ที่เราต้องรับผล
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• คิดดี ก่อนจะเลือกคำพูดให้ดี
พูดดี แล้วทำตรงกับที่พูดเอาไว้
ดังตฤณ
กำลังใจ
นโปเลียน ฮิลล์ ทำอย่างไร จึงช่วยให้ลูกชายที่เกิดมาพิการไม่มีหู สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้?
นาทีแรกที่ นโปเลียน ฮิลล์ เห็นลูกชายแรกเกิดของเขานั้น เขาตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออก ทารกไม่มีหู!
หมอกล่าวว่า “ลูกชายคุณจะไม่ได้ยิน และจะพูดไม่ได้ เขาจะเป็นคนหูหนวกและใบ้ไปตลอดชีวิต”
นโปเลียน ฮิลล์ เป็นนักเขียนหนังสือเสริมกำลังใจที่มีชื่อเสียงของอเมริกาต้นศตวรรษที่ 20 คราวนี้นักเขียนที่เสริมสร้างกำลังใจให้คนอื่นกลับต้องการกำลังใจอย่างที่สุด!
เขาไม่เชื่อว่าการไม่มีหูเป็นจุดสิ้นสุดอนาคตของทารกคนนี้ เขาปฏิเสธที่จะเชื่อหมอว่าเด็กหมดหวังแล้วในชาตินี้ เขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อหมอ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้ลูกหูหนวกและเป็นใบ้โดยเด็ดขาด
แล้วเขาก็นึกถึงคำคำหนึ่ง : ความปรารถนาอย่างแรงกล้า Burning Desire
เขาเชื่อว่าหากความปรารถนาแรงกล้าพอ ธรรมชาติจะทำให้มันเกิดขึ้นเองตามทางของมัน เขาพร่ำบอกกับตัวเองว่า ต้องมีหนทางที่ทำให้เด็กได้ยินและพูดได้เหมือนปกติ และเขาต้องค้นมันให้พบจนได้
แต่ก่อนอื่น เขาต้องฝังไฟความปรารถนาอย่างแรงกล้านี้ใส่ในหัวลูกชายตั้งแต่เด็กว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ลูกสามารถก้าวข้ามความพิการทางกายภาพไปสู่เป้าหมายได้ ถ้าลูกต้องการมันจริงๆ”
ชื่อของทารกคนนี้คือ แบลร์ ตั้งแต่เล็ก แบลร์ได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเด็กทั่วไป เข้าเรียนในโรงเรียนธรรมดา ทั้งยังถูกห้ามเรียนภาษามือ เพราะพ่อแม่มุ่งมั่นให้แบลร์เป็นคนปกติให้จงได้
แต่เมื่อถึงวัยที่เด็กทั่วไปเริ่มพูด ลูกของเขาเงียบสนิท ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินอะไรหรือส่งเสียงสักคำ
ในเมื่อไม่มีหูสำหรับการได้ยิน และเสียงคือ รูปแบบของการสั่นสะเทือนอย่างหนึ่ง นโปเลียน ฮิลล์ จึงพูดกับลูกโดยแตะริมฝีปากที่กะโหลกศีรษะบริเวณ Mastoid Bone ข้างหู ส่งคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนตรงถึงหัวของลูกโดยไม่ต้องผ่านหู
คนเป็นพ่อแม่รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ทารกสามารถได้ยินด้วยวิธีนี้อย่างน้อยในระดับหนึ่ง พวกเขาสื่อสารด้วยวิธีนี้อย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า
ผู้เป็นพ่อซื้อจานเสียงมาเล่นเพลงให้ลูกฟัง และสังเกตเห็นว่าเด็กชอบ ‘ฟัง’ โดยงับฟันที่ขอบจานเสียง ภายหลังจึงรู้ว่ามันเป็นหลักการฟังเสียงแบบ Bone Conduction หรือการส่งคลื่นเสียงสู่หูชั้นในผ่านกระดูกที่กะโหลกศีรษะ
พ่ออ่านนิทานที่แต่งเองให้ลูกฟังเป็นประจำ เป็นนิทานที่มีคติสอนใจว่า อุปสรรคทางร่างกายไม่ใช่ปมด้อย ปลูกฝังให้มองโลกในแง่ดี ใช้ความเชื่อและความปรารถนาแรงกล้านำทาง
พ่อฝังทัศนคติในเชิงบวกแก่ลูกว่า “รู้ไหมว่าลูกจะมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น เช่น ครูจะดูแลลูกพิเศษกว่าคนอื่น ถ้าลูกโตพอขายหนังสือพิมพ์เอง ก็จะได้เงินทิปมากกว่าเด็กทั่วไป เพราะใครๆ ก็ชอบคนที่สู้ชีวิต”
อาจเป็นการปลูกฝังการมองโลกในแง่ดีอย่างนี้เอง ตั้งแต่เด็ก แบลร์ไม่ขี้งอแง พึ่งพาตนเองได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนพิการ
ความสามารถได้ยินของแบลร์ด้วยวิธีนี้พัฒนาขึ้นตามลำดับ ในยามปกติเขาไม่ได้ยินเสียงคนอื่นพูด ยกเว้นตอนตะโกนใกล้ๆ
เมื่ออายุเจ็ดขวบแบลร์ขออนุญาตพ่อไปขายหนังสือพิมพ์เหมือนเด็กคนอื่นๆ แม่ไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับเด็กเล็กที่เดินเพ่นพ่านตามถนน โดยไม่ได้ยินเสียงอะไร
บ่ายวันหนึ่งเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ ทั้งบ้านเหลือแต่คนใช้กับเขา เด็กชายปีนหน้าต่างครัวออกจากบ้าน ยืมเงินหกเซ็นต์จากเพื่อนบ้าน เอาไปซื้อหนังสือพิมพ์ไปขาย นำกำไรไม่กี่เซ็นต์ที่ได้ไปลงทุนซื้อหนังสือพิมพ์อีก แล้วเอาไปขายอีกรอบ ทำเช่นนี้หลายรอบจนถึงเย็น หลังจากคืนเงินหกเซ็นต์ไปแล้ว เขาได้กำไรสี่สิบสองเซ็นต์
ค่ำนั้นแบลร์นอนหลับ มือยังกำเงินที่ได้มาจากการขายหนังสือพิมพ์ คนเป็นแม่ร้องไห้เมื่อรู้ความจริงว่าเด็กชายกล้าออกไปสู้โลกภายนอกด้วยตัวเอง เขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนพิการ
การปลูกฝังเด็กไม่ให้รู้สึกว่าตนเองพิการทำให้เด็กกล้า มุ่งมั่น พึ่งตนเองได้ เป็นคุณสมบัติที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
แบลร์พัฒนาทักษะเฉพาะตัวจนสามารถได้ยินและพูดได้เกือบเหมือนคนปกติ แบลร์เรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทำงานเช่นคนปกติ และประสบความสำเร็จในชีวิต
ชีวิตของแบลร์ไม่มีทางเป็นอย่างที่เป็นอยู่ หากเขาไม่ได้รับการปลูกฝังทัศนคติที่จะสู้ และหากพ่อแม่ของเขาเชื่อคำตัดสินของหมอและยอมแพ้ตั้งแต่วันแรก เพราะโดยหลักวิชา เขาไม่มีทางสามารถได้ยินเลยเด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นี่เป็นตัวอย่างของพลังของไฟปรารถนาอย่างแรงกล้า ราวกับว่าธรรมชาติสร้างพลังชดเชยให้ความไม่ปกติ ขอเพียงรักษาไฟนั้นไว้มิให้ดับ คนที่อวัยวะไม่สมประกอบก็อาจเดินไปได้ไกลกว่าคนมีอวัยวะครบสามสิบสองด้วยซ้ำ
แน่ละ ไฟปรารถนาอย่างแรงกล้านี้อาจใช้ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ในทุกกรณี แต่มันก็ไม่จบด้วยศูนย์เปอร์เซ็นต์แน่นอน อย่างน้อยที่สุดใครคนนั้นก็ไม่ดูถูกตัวเอง และมันคือ คุณสมบัติที่แม้แต่คนร่างกายสมบูรณ์จำนวนมากขาด ไม่มีอะไรน่าหดหู่ไปกว่าการเห็นคนปกติทำตัวเป็นคนพิการ
พ่อแม่จำนวนมากในโลกเลี้ยงลูกให้เป็น ‘คนพิการ’ โดยไม่รู้ตัว ปลูกฝังความคิดให้เด็กต้องพึ่งพาคนอื่นไปตลอดชีวิต กลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต
ความไม่สมประกอบทางกายภาพเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ ขนาดสมองและหน้าตาก็เลือกไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่เป็น ‘คนพิการ’ ได้
♥
วินทร์ เลียววาริณ
หมายเหตุ : เรื่องของแบลร์เก็บความมาจากหนังสือเรื่อง
Think and Grow Rich (1937) ของนโปเลียน ฮิลล์
นาทีแรกที่ นโปเลียน ฮิลล์ เห็นลูกชายแรกเกิดของเขานั้น เขาตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออก ทารกไม่มีหู!
หมอกล่าวว่า “ลูกชายคุณจะไม่ได้ยิน และจะพูดไม่ได้ เขาจะเป็นคนหูหนวกและใบ้ไปตลอดชีวิต”
นโปเลียน ฮิลล์ เป็นนักเขียนหนังสือเสริมกำลังใจที่มีชื่อเสียงของอเมริกาต้นศตวรรษที่ 20 คราวนี้นักเขียนที่เสริมสร้างกำลังใจให้คนอื่นกลับต้องการกำลังใจอย่างที่สุด!
เขาไม่เชื่อว่าการไม่มีหูเป็นจุดสิ้นสุดอนาคตของทารกคนนี้ เขาปฏิเสธที่จะเชื่อหมอว่าเด็กหมดหวังแล้วในชาตินี้ เขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อหมอ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้ลูกหูหนวกและเป็นใบ้โดยเด็ดขาด
แล้วเขาก็นึกถึงคำคำหนึ่ง : ความปรารถนาอย่างแรงกล้า Burning Desire
เขาเชื่อว่าหากความปรารถนาแรงกล้าพอ ธรรมชาติจะทำให้มันเกิดขึ้นเองตามทางของมัน เขาพร่ำบอกกับตัวเองว่า ต้องมีหนทางที่ทำให้เด็กได้ยินและพูดได้เหมือนปกติ และเขาต้องค้นมันให้พบจนได้
แต่ก่อนอื่น เขาต้องฝังไฟความปรารถนาอย่างแรงกล้านี้ใส่ในหัวลูกชายตั้งแต่เด็กว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ลูกสามารถก้าวข้ามความพิการทางกายภาพไปสู่เป้าหมายได้ ถ้าลูกต้องการมันจริงๆ”
ชื่อของทารกคนนี้คือ แบลร์ ตั้งแต่เล็ก แบลร์ได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเด็กทั่วไป เข้าเรียนในโรงเรียนธรรมดา ทั้งยังถูกห้ามเรียนภาษามือ เพราะพ่อแม่มุ่งมั่นให้แบลร์เป็นคนปกติให้จงได้
แต่เมื่อถึงวัยที่เด็กทั่วไปเริ่มพูด ลูกของเขาเงียบสนิท ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินอะไรหรือส่งเสียงสักคำ
ในเมื่อไม่มีหูสำหรับการได้ยิน และเสียงคือ รูปแบบของการสั่นสะเทือนอย่างหนึ่ง นโปเลียน ฮิลล์ จึงพูดกับลูกโดยแตะริมฝีปากที่กะโหลกศีรษะบริเวณ Mastoid Bone ข้างหู ส่งคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนตรงถึงหัวของลูกโดยไม่ต้องผ่านหู
คนเป็นพ่อแม่รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ทารกสามารถได้ยินด้วยวิธีนี้อย่างน้อยในระดับหนึ่ง พวกเขาสื่อสารด้วยวิธีนี้อย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า
ผู้เป็นพ่อซื้อจานเสียงมาเล่นเพลงให้ลูกฟัง และสังเกตเห็นว่าเด็กชอบ ‘ฟัง’ โดยงับฟันที่ขอบจานเสียง ภายหลังจึงรู้ว่ามันเป็นหลักการฟังเสียงแบบ Bone Conduction หรือการส่งคลื่นเสียงสู่หูชั้นในผ่านกระดูกที่กะโหลกศีรษะ
พ่ออ่านนิทานที่แต่งเองให้ลูกฟังเป็นประจำ เป็นนิทานที่มีคติสอนใจว่า อุปสรรคทางร่างกายไม่ใช่ปมด้อย ปลูกฝังให้มองโลกในแง่ดี ใช้ความเชื่อและความปรารถนาแรงกล้านำทาง
พ่อฝังทัศนคติในเชิงบวกแก่ลูกว่า “รู้ไหมว่าลูกจะมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น เช่น ครูจะดูแลลูกพิเศษกว่าคนอื่น ถ้าลูกโตพอขายหนังสือพิมพ์เอง ก็จะได้เงินทิปมากกว่าเด็กทั่วไป เพราะใครๆ ก็ชอบคนที่สู้ชีวิต”
อาจเป็นการปลูกฝังการมองโลกในแง่ดีอย่างนี้เอง ตั้งแต่เด็ก แบลร์ไม่ขี้งอแง พึ่งพาตนเองได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนพิการ
ความสามารถได้ยินของแบลร์ด้วยวิธีนี้พัฒนาขึ้นตามลำดับ ในยามปกติเขาไม่ได้ยินเสียงคนอื่นพูด ยกเว้นตอนตะโกนใกล้ๆ
เมื่ออายุเจ็ดขวบแบลร์ขออนุญาตพ่อไปขายหนังสือพิมพ์เหมือนเด็กคนอื่นๆ แม่ไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับเด็กเล็กที่เดินเพ่นพ่านตามถนน โดยไม่ได้ยินเสียงอะไร
บ่ายวันหนึ่งเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ ทั้งบ้านเหลือแต่คนใช้กับเขา เด็กชายปีนหน้าต่างครัวออกจากบ้าน ยืมเงินหกเซ็นต์จากเพื่อนบ้าน เอาไปซื้อหนังสือพิมพ์ไปขาย นำกำไรไม่กี่เซ็นต์ที่ได้ไปลงทุนซื้อหนังสือพิมพ์อีก แล้วเอาไปขายอีกรอบ ทำเช่นนี้หลายรอบจนถึงเย็น หลังจากคืนเงินหกเซ็นต์ไปแล้ว เขาได้กำไรสี่สิบสองเซ็นต์
ค่ำนั้นแบลร์นอนหลับ มือยังกำเงินที่ได้มาจากการขายหนังสือพิมพ์ คนเป็นแม่ร้องไห้เมื่อรู้ความจริงว่าเด็กชายกล้าออกไปสู้โลกภายนอกด้วยตัวเอง เขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนพิการ
การปลูกฝังเด็กไม่ให้รู้สึกว่าตนเองพิการทำให้เด็กกล้า มุ่งมั่น พึ่งตนเองได้ เป็นคุณสมบัติที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
แบลร์พัฒนาทักษะเฉพาะตัวจนสามารถได้ยินและพูดได้เกือบเหมือนคนปกติ แบลร์เรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทำงานเช่นคนปกติ และประสบความสำเร็จในชีวิต
ชีวิตของแบลร์ไม่มีทางเป็นอย่างที่เป็นอยู่ หากเขาไม่ได้รับการปลูกฝังทัศนคติที่จะสู้ และหากพ่อแม่ของเขาเชื่อคำตัดสินของหมอและยอมแพ้ตั้งแต่วันแรก เพราะโดยหลักวิชา เขาไม่มีทางสามารถได้ยินเลยเด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นี่เป็นตัวอย่างของพลังของไฟปรารถนาอย่างแรงกล้า ราวกับว่าธรรมชาติสร้างพลังชดเชยให้ความไม่ปกติ ขอเพียงรักษาไฟนั้นไว้มิให้ดับ คนที่อวัยวะไม่สมประกอบก็อาจเดินไปได้ไกลกว่าคนมีอวัยวะครบสามสิบสองด้วยซ้ำ
แน่ละ ไฟปรารถนาอย่างแรงกล้านี้อาจใช้ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ในทุกกรณี แต่มันก็ไม่จบด้วยศูนย์เปอร์เซ็นต์แน่นอน อย่างน้อยที่สุดใครคนนั้นก็ไม่ดูถูกตัวเอง และมันคือ คุณสมบัติที่แม้แต่คนร่างกายสมบูรณ์จำนวนมากขาด ไม่มีอะไรน่าหดหู่ไปกว่าการเห็นคนปกติทำตัวเป็นคนพิการ
พ่อแม่จำนวนมากในโลกเลี้ยงลูกให้เป็น ‘คนพิการ’ โดยไม่รู้ตัว ปลูกฝังความคิดให้เด็กต้องพึ่งพาคนอื่นไปตลอดชีวิต กลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต
ความไม่สมประกอบทางกายภาพเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ ขนาดสมองและหน้าตาก็เลือกไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่เป็น ‘คนพิการ’ ได้
♥
วินทร์ เลียววาริณ
หมายเหตุ : เรื่องของแบลร์เก็บความมาจากหนังสือเรื่อง
Think and Grow Rich (1937) ของนโปเลียน ฮิลล์
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555
บางส่วนของหนังสือ มีชีวิตที่คิดไม่ถึง ดังตฤณ...
จัดทำโดย: ศศิธร นิมิตหลิวพานิชย์
www.dungtrin.com
จัดทำโดย: ศศิธร นิมิตหลิวพานิชย์ www.dungtrin.com |
บทที่ ๑๑ - ลำดับขั้นในการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ถ้าการเปลี่ยนกรรมทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในเกมกรรมจริงๆ
ความแน่นอนที่เหมือนไม่แน่นอน
อะไรก็ตามที่ถูกตกแต่งด้วยกฎแห่งกรรมวิบากจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นเสมอ แต่กฎแห่งกรรมวิบากจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยสิ้นกาลนาน ทั้งนี้เพราะกฎแห่งกรรมวิบากนั่นเองคือเกมกรรมทั้งเกม ไม่ว่าคุณจะทิ้งเกมกรรม หลุดพ้นจากกรงรั้วของเกมกรรมไปนานแสนนานแค่ไหน จะยังคงมีใครหลายคนตกค้างอยู่อย่างเดิม ถูกเล่นงานด้วยกฎเดิมๆ ถูกบีบคั้นด้วยเครื่องล่อใจเดิมๆ ต้องออกแรงต้านล้มลุกคลุกคลานด้วยท่วงท่าเดิมๆ ด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครจำใครได้ ไม่มีใครสลักสำคัญพอจะมีชื่อบนเสาสลักต้นใดในเกมกรรม ชื่อแซ่และหน้าตาของทุกคนจะโดนลบทิ้งไปทั้งหมดไม่หลงเหลือแม้เป็นร่องรอยความทรงจำของใคร
และแค่คุณมาตามทิศที่จะนำไปสู่ทางออกจากเกมกรรมแล้วระยะหนึ่ง มองย้อนกลับเข้ามาถึงใจกลางเกมกรรมอันหนาแน่นด้วยสนามพลังดึงดูดให้ลงต่ำ คุณจะได้ข้อสรุปประการหนึ่ง คือเกมกรรมเล่นยากที่สุดก็ตรงจะให้ผู้เล่นเชื่อว่าเกมกรรมมีจริง และกฎเหล็กของเกมกรรมก็มีจริง เพียงเชื่อได้ว่าเกมกรรมไม่ใช่เรื่องหลอก ทางออกก็เหมือนแง้มเปิดบ้างแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเกมเล่นง่าย ทุกคนคงหลุดพ้นจากกรงของเกมไปหมดแล้ว คุณจำเป็นต้องเชื่อจากการเห็นผลลัพธ์ และการเห็นผลลัพธ์ก็ทำให้คุณพบกับเบื้องหลังเกมกรรมที่ถูกเปิดเผยขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าทำดีแล้วได้ดีในนาทีเดียว ทุกคนคงไม่สงสัยว่าผลกรรมมีหรือไม่มี แต่นี่ปัจจัยและตัวแปรในการให้ผลในเกมกรรมซับซ้อนเหลือเกิน และผลกรรมส่วนใหญ่ก็มาช้าเหมือนไม่มีวันมาถึง อาการคอยหายจะทำให้คุณหมดแรงศรัทธา เมื่อทำแล้วไม่ได้ผลทันใจเมื่อไม่มีใครพยากรณ์ได้ชัดเจน คุณจะรู้สึกเหมือนกฎแห่งกรรมวิบากไม่มีจริง อันนั้นมิใช่มายาลวงของเกมกรรม แต่เป็นเงื่อนไขการให้ผล ดังได้แสดงแล้วในบทที่ ๑๐ ว่าด้วยการให้ผลของกรรมซึ่งสัมพันธ์กับทุนเก่าของแต่ละคน ฉะนั้นถ้าจะรอผลอันใด ก็ขอให้แน่ใจว่าเป็นผลที่สมกับตัว สมกับทุนเก่าของคุณ ผลก็จะปรากฏเป็นที่ประจักษ์สมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน
สรุปว่าถ้าทำบุญแล้ว ‘ได้ดี’ แต่ ‘ไม่ใช่อย่างใจ’ ก็อย่าเพิ่งไปโทษบุญ ผลบุญก็อย่างหนึ่ง จะเอาให้ได้ดังใจก็อีกอย่างหนึ่งส่วนที่เหลือของบทนี้จะมุ่งให้สังเกตความแตกต่างหลังจากที่คุณเข้าใจเกมกรรม สมัครใจให้ทานรักษาศีล ตลอดจนตกลงปลงใจหยุดเล่นเกมกรรม
ความรู้สึก
หากคุณเลิกคาดหวังผลแบบคนอยากถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ แต่คาดหวังความสุขทางใจเป็นที่หนึ่ง คุณจะเห็นผลทันทีที่ทำบุญอย่างบริสุทธิ์ใจเพียงเล็กน้อย เช่นไปเดินเล่นริมสระ เห็นคนให้อาหารปลาก็ไปซื้อมาให้บ้าง ความรู้สึกของคุณจะแตกต่างไปจากการเดินเล่นเปล่าๆในทันทีนั้นเอง คือนอกจากความสบายใจที่ได้เดินเล่น ยังแถมความชุ่มชื่นเข้ามาด้วย แต่อาจเจือจางและไม่ชัดเจนหากสายตาคุณไม่ดูปลา และใจคุณไม่จดจ่ออยู่กับการให้อย่างต่อเนื่อง
หากคุณฝึกสังเกตความจริงจนกระทั่งเกิดความฉลาดในเกมกรรม เวลาให้ทานมีใจอ่อนน้อม เล็งตาดู และเทใจให้ ไม่สักแต่ให้ด้วยความเคยชินหรือท่าทีเฉยเมยแบบหุ่นยนต์ คุณจะหาความสุขจากการให้ด้วยใจรักได้ทุกที่ทั่วโลก
เช่นเดียวกับการถือศีลแต่ละข้อ ถ้าหมั่นสังเกตใจตนเอง คุณจะเห็นความสุขทวีตัวมากขึ้นทุกวัน เมื่อมีแต่ความรู้สึกด้านดีอบอุ่นใจ สบายใจ คุณก็จะเลิกกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ต่อให้ชีวิตเหมือนเข้าตาจน คุณก็จะไม่จนใจแต่อย่างใดเลย นี่แหละเรียกว่าเป็นสุขจนชีวิตแตกต่างกัน เพราะแม้ความยากจนและสถานการณ์ลำบากก็ขโมยความสุขไปจากใจคุณไม่ได้
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์อันน่าเป็นทุกข์ คุณก็ยังยิ้มได้ แม้สำรวจกระเป๋าพบว่าเงินหาย แต่สำรวจในอกในใจแล้ว เพียงพบว่าความสุขยังอยู่กับคุณ คุณก็ยิ้มออก และจะได้ข้อสรุปเยี่ยงคนเคยทำบุญว่า ถ้าไม่เคยบริจาคหนึ่งพัน คุณจะไม่มีวันรู้วิธีทำเงินหายหนึ่งพันด้วยความสบายใจได้เลย
จิต
เมื่อคุณสามารถรักษาสัญญากับตนเอง เช่นตั้งใจรักษาศีลแล้วรักษาได้แม้เกมกรรมจะส่งเรื่องยั่วยวนชวนเสียสัตย์ให้ลองใจสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในระยะสั้นคือจิตจะเบา อบอุ่น สว่างจากภายใน แล้วรู้สึกไว้ใจตัวเอง เห็นตนเองเป็นคนที่ไว้ใจได้มากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็อาจยังมีช่องโหว่ทางความรู้สึก คือกลับไปกลับมาได้ ท้อแท้ได้ ลังเลสงสัยหวั่นไหวได้ หวนไปเชื่อเสียงกระซิบจากกิเลสได้
ถ้าไม่ถอดใจถอยเท้าไปเสียก่อน ให้กำลังใจตัวเองในการรักษาความดีได้นานพอ ในระยะยาวคุณมองเข้ามาข้างในทีไร จะเห็นแต่ความตั้งมั่น ไม่เอาเรื่องผิดๆตั้งแต่ในมุ้ง คือไม่ต้องชั่งใจคิดว่าเอาดีหรือไม่เอาดี ขอเพียงเป็นเรื่องผิดศีล จิตคุณก็ปฏิเสธหมดแล้ว
ถึงขั้นนั้นคุณจะรู้สึกว่าจิตใจสงบเยือกเย็น ความคิดด้านร้ายแม้มีอยู่ก็เบาบางลงมาก สามารถควบคุมความคิดได้ง่ายขึ้นและไม่กลัวเสียงกระซิบในหัวอันร้ายกาจจากภาคความเป็นคนเลวของคุณเอง เพราะตระหนักว่าตัวคุณจริงๆยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม จิตคุณเหมือนอุปกรณ์เครื่องใช้คุณภาพดี แข็งแรงทนทาน ซึ่งไม่น่ากังวลว่าจะเสียหายเองหรือถูกสิ่งอื่นกระทำให้เสียหายง่ายๆ
เมื่อฝึกต่อยอดอีกเพียงนิดเดียว คุณจะเริ่มฉลาดทางจิตมากขึ้นทุกวัน เช่นเห็นถนัดชัดว่าความฟุ้งซ่านก่อเค้าพายุมาจากการเผลอพูดเรื่องไม่ดีของคนอื่นด้วยจิตคิดนินทาว่าร้าย ครั้งต่อมาเพียงเห็นจิตคิดนินทาว่าร้ายปรากฏขึ้น สติก็ระลึกได้ว่านั่นเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นเหตุแห่งสภาพจิตแย่ๆ ความอยากนินทาว่าร้ายก็หายไป ความฟุ้งซ่านก็ไม่เกิด นั่นแหละเรียกฉลาดครบวงจรคือไม่ใช่แค่สักแต่เข้าใจ ทว่ามีสติเท่าทันและห้ามใจได้ก่อนสายด้วย
ผู้มีความฉลาดทางจิตย่อมมีจิตที่สงบ หนักแน่น และรู้เห็นโลกอย่างเที่ยงตรง อะไรจะมีค่าไปกว่าการมีจิตที่ดีขึ้น ในเมื่อจิตคือสิ่งที่คุณต้องทนรำคาญหรือชื่นชมยินดีอยู่ตลอดวันตลอดคืน และจิตนี่เองเป็นต้นเค้าของกรรมทั้งปวง เมื่อจิตสว่างย่อมปรารถนาที่จะทำกรรมขาว สุคติย่อมเป็นที่หวัง เมื่อจิตมืดย่อมใคร่ที่จะทำกรรมดำ ทุคติย่อมเป็นที่หวัง
สรุปคือขอเพียงจิตคุณดีอย่างเดียว อะไรอย่างอื่นที่จะตามมาก็ดีหมด หากการเปลี่ยนแปลงของคุณเข้าลึกมาได้ถึงจิต ก็แปลว่าทั้งปัจจุบันและอนาคตไม่มีอะไรน่าห่วงอีกแล้ว
หน้าตา
เค้าโครงรูปร่างหน้าตาของคนเราไม่ได้คงเส้นคงวาตายตัวอย่างที่คิด แม้อาหาร อากาศ การออกกำลังกาย ก็สามารถเปลี่ยนแปลงคุณขนาดเห็นเงาตัวเองในกระจกแล้วแปลกใจได้บ่อยๆ
กรรมก็เช่นกัน คุณเปลี่ยนกรรมหน้าตาก็เปลี่ยนตาม โดยเฉพาะในเรื่องของศีลจะเห็นผลชัดรวดเร็ว คือต่อให้คุณเป็นคนผิวดำ เมื่อรักษาศีลได้สะอาดสักระยะ กระทั่งรู้สึกตั้งมั่นในศีล จะเหมือนมีรัศมีความขาวทอตัวออกมาจากภายใน ผิวคุณจะดูขาวขึ้นจนคนอื่นทัก
หากคุณมองคนด้วยความคิดที่ดี จิตเป็นเมตตา ไม่มองด้วยอาการหมิ่น ไม่มองด้วยเลศนัย ไม่มองด้วยความเป็นปรปักษ์ไม่มองด้วยความระลึกถึงเวรที่ผูกกันมา นัยน์ตาคุณจะมีประกายชวนมองมากขึ้น รวมทั้งรูปตาอาจเต็มขึ้นกว่าเดิม
หากคุณทำบุญด้วยจิตเลื่อมใสขนาดยิ้มได้เต็มปาก ไม่ลังเลที่จะยิ้มชื่นใจในห้วงที่จิตเป็นบุญเป็นกุศล และจดจำจิตที่คิดยิ้มจริงใจสดใสนั้นได้ แจกยิ้มให้ใครต่อใครง่ายๆด้วยไมตรีจิตบริสุทธิ์ รูปปากและกล้ามเนื้อบนใบหน้าทั้งหมดจะถูกตกแต่งให้เป็นยิ้มงามทั่วตลอด ยิ่งหากฝึกพูดความจริง พูดคำอันเสนาะโสต พูดคำสมานฉันท์ และพูดอย่างมีสติ ไม่พูดให้เกิดจิตที่บิดเบี้ยว ปากก็จะอยู่ในรูปรอยปกติที่ดูดีที่สุด ไม่เบี้ยวบิดผิดรูปไป
หากคิดทำเพื่อคนอื่น อยากอนุเคราะห์ อยากเกื้อกูล อยากให้เขาได้ดีมีสุข ขอให้สังเกตรัศมีความรู้สึกไปด้วย จะเหมือนสว่างเรืองออกมาจากภายใน สังเกตเรื่อยๆ ยิ่งทำถี่ ยิ่งทำมาก รัศมีเรืองจากภายในจะยิ่งชัดจนบอกตัวเองได้อย่างหนักแน่นว่ามิใช่อุปาทาน ผิวหนังและกรอบหน้าของคุณจะฉายรัศมีเดียวกับที่คุณรู้สึก และคนอื่นก็จะรู้สึกตาม แต่ช่วงใดใจร้าย ใจจืดใจดำสักพัก รัศมีความรู้สึกดีๆนั้นก็จะหายไปจากกายใจด้วย
ความรู้สึกภายในกับเหตุการณ์ภายนอกค่อนข้างจะเป็นไปตามกัน ถ้ารัศมีความรู้สึกของคุณดีออกมาจากข้างใน ก็จะมีคนทักทายหรืออยากยิ้มแย้มให้คุณ นั่นแปลว่าถ้าภายในของคุณเป็นมิตรกับโลก โลกภายนอกก็จะเป็นมิตรตอบคุณ
รัศมีความสว่างจากภายในแตกต่างจากการบำรุงผิวให้ ‘ดูขาว’ ที่ภายนอก หากคุณเป็นคนมักโกรธ ชอบพูดหยาบเป็นนิตย์ต่อให้ดั้งเดิมผิวคุณขาว ในที่สุดก็จะหม่นลง แม้บำรุงด้วยการอาบน้ำแร่แช่น้ำนมให้ขาวสะดุดตา มองใกล้ชิดไปนานๆก็จะรู้สึกว่าไม่ชวนชื่นใจอยู่ดี เว้นแต่คุณมีทุนเก่าหนา คือมีคะแนนบวกที่ตกแต่งผิวพรรณให้งามมากมายเหลือเฟือ อย่างนั้นผลของความมักโกรธและพูดหยาบก็อาจไปปรากฏรวบยอดในชาติถัดไป เป็นผิวหนังหยาบๆดำๆ
สรุปคือแววตาก็ดี รูปตาก็ดี รอยยิ้มก็ดี ความอิ่มเต็มและความเปล่งปลั่งของเนื้อหนังก็ดี ล้วนเป็นเสมือนนิมิตที่ฉายออกมาจากจิต แสดงภาวะของจิต จิตคุณเป็นอย่างไร ตัวตนของคุณที่ปรากฏกับภายนอกก็เป็นอย่างนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่สำคัญเท่าการเปลี่ยนแปลงของจิต แต่ก็เป็นเครื่องให้กำลังใจที่ดี เพราะเห็นน้ำเห็นเนื้ออย่างเป็นรูปธรรม น่าพึงใจสำหรับผู้ยังติดอยู่กับรูปของตน
สุขภาพ
เมื่อแน่วแน่ที่จะไม่ฆ่าสัตว์ ตลอดจนเว้นขาดจากการดื่มสุรายาบ้ายาอี รัศมีสุขภาพจะไม่บกพร่องเพราะกรรมอันเป็นปัจจุบัน
แต่รัศมีสุขภาพพื้นฐานอันเกิดจากกรรมฆ่าสัตว์เก่าๆยังอาจรบกวนคุณอยู่ ก็บรรเทาได้ด้วยการปล่อยสัตว์ ยิ่งสัตว์ใหญ่ ยิ่งจำนวนมาก ยิ่งต่อเนื่องนานเท่าไร ก็ยิ่งเห็นผลดีชัดเจนขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สุขภาพของคุณจะไม่ดีขึ้นเพียงด้วยการปล่อยนกปล่อยปลา ปล่อยวัวปล่อยควายครบพันตัวหรือหมื่นตัวอย่างเดียว คุณต้องออกกำลังกาย กินอาหารถูกสุขลักษณะ เพื่อให้กระดูกแข็งแรง โครงสร้างร่างกายพื้นฐานแน่นหนาเพียงพอด้วย
มลพิษในปัจจุบันอาจทำให้ยากที่คุณจะหาอากาศดีๆมีความบริสุทธิ์ไว้หายใจ กรรมขาวและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออาจช่วยชดเชยอากาศดีๆได้บ้าง แต่ก็ควรหาโอกาสไปฟอกปอดตามท้องถิ่นที่ปราศจากมลพิษเสมอๆด้วย
ฐานะการเงิน
หากคุณมีฐานะการเงินไม่สู้ดี มีแต่ความอัตคัดติดขัด คุณคงหวังพิสูจน์กรรมวิบากเอากับเรื่องลาภก่อนเพื่อน
การไม่คดโกง ไม่ฉ้อฉล ไม่หลอกลวงเอาเงินใครมาอย่างไร้ความยุติธรรม ผนวกกับการทำบุญกับศาสนาด้วยจิตปรารถนาจะได้ช่วยกันสืบทอดพระศาสนาคนละไม้คนละมือ จะเป็นตัวสร้างรัศมีของผู้มีลาภขึ้นในคุณได้ดีที่สุด และจะเด่นชัดตั้งมั่นเมื่อกรรมขาวดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องนานพอ
หากคุณหวังผลทางลัด เร่งรัดลาภด้วยการเสริมดวงด้วยการตกแต่งโหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย หรือด้วยศาสตร์แห่งเคล็ดลางใดๆ ก็อาจได้ผลในแง่ปรับสภาพผิวนอก ฐานะการเงินก็อาจกระเตื้องขึ้นแบบผิวๆ แต่ไม่มีแรงส่งในระยะยาวอย่างแท้จริง
ลาภลอยไม่จำเป็นต้องมาจากล็อตเตอรี่หรือหวยใต้ดิน ถ้าเงินมาง่ายคุณต้องเตรียมใจว่ามันจะไปง่ายด้วย เพราะลาภลอยไม่มีแรงค้ำจุน แตกต่างจากลาภที่มาจากงานประจำและบุญเก่า
ต้องยอมรับว่าการเป็นลูกจ้างกับการมีกิจการของตัวเองนั้น จะเอื้อให้กรรมสบช่องส่งผลแตกต่างกัน หากเป็นลูกจ้าง แม้กรรมจะช่วยอุดหนุนให้ได้ดีขนาดไหน ก็ไม่มากไปกว่าเพดานเงินเดือนและโบนัสที่คุณมีสิทธิ์จะได้รับเท่าใดนัก แต่หากคุณมีกิจการของตัวเอง ผลกำไรจะขึ้นตรงกับกรรมเก่าและกรรมใหม่
การขยันทำงาน ไม่ใช้จ่ายเกินตัว รู้จักเลี้ยงดูลูกเมียและบริวารให้อยู่ดีตามอัตภาพ รวมทั้งรู้จักแบ่งเก็บหอมรอมริบ ก็เป็นตัวแปรที่จะทำให้ฐานะการเงินของคุณเขยิบขึ้นได้ คือรัศมีของความขยัน ความไม่ประมาท และความรู้จักแจกจ่ายเกื้อกูล จะทำให้ชีวิตโดยรวมไม่ตกที่นั่งลำบากทางการเงิน
คุณไม่อาจกะเกณฑ์ว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่จะรวยขึ้น แต่คุณสามารถรู้สึกได้ว่ารังสีของทานและความซื่อสัตย์แข็งแรงหรือยัง ถ้ารู้สึกถึงความตั้งมั่นแข็งแรงในภายใน เหตุการณ์ภายนอกก็จะปรากฏสอดรับกันไปด้วย ตรงข้าม หากอาชีพของคุณคือการหลอกลวงและฉกฉวยประโยชน์จากความไม่รู้ของลูกค้า แม้คุณจะได้เงินมาก เงินนั้นก็จะร้อน ไม่ทำให้คุณนอนสบาย มีเหตุให้ต้องเสียเงินทองอย่างไม่น่าจะเสียอยู่เรื่อยๆ หรือหนักกว่านั้นคือมีเงินแต่รู้สึกเหมือนไม่มี นี่ก็คือความยุติธรรมของกรรมที่คุณประจักษ์กับตัวแต่อาจไม่อยากยอมรับ
คนรัก
แต่ละคนมีแรงดึงดูด หรือพูดง่ายๆว่าเสน่ห์ต้องตาต้องใจเพศตรงข้ามไม่เท่ากัน ปัจจัยที่ทำให้ทรงเสน่ห์มีอยู่มาก ต้องยอมรับว่ามนุษย์เราหลงรูป ยึดติดในลักษณะต้องตาก่อนอื่นใด ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าแรงส่งของกรรมเก่ามีอิทธิพลสูง ใครเคยทำทานด้วยศรัทธา เคยรักษาศีลด้วยความแน่วแน่ ชาติถัดมาก็เอารูปร่างหน้าตาดีๆไว้ใช้ล่อตาล่อใจใครต่อใครสบายไป
อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ที่จับใจคนในระยะยาวมิใช่รูปร่างหน้าตา ทว่าเป็นน้ำใจ ความเมตตา ความรู้จักพูด ความเชื่อมั่น ตลอดจนท่วงทีกิริยา แม้แต่คนที่มีบุญเก่าทางรูปร่างหน้าตาไม่ดีนัก ก็สามารถเพิ่มแรงเสน่ห์อันเป็นภายในได้ในชั่วเวลาที่ปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างให้ตั้งมั่น ในทางตรงข้าม แม้สวยหล่อเลิศเลอแต่หน้าดำคร่ำเครียดกับเรื่องตกต่ำทั้งหลาย ทั้งเหล้า ทั้งการพนัน ทั้งคำพูดคำจาสารพัดพิษ ก็ทำบุญเก่าทรุดโทรมลง หรือแม้รูปร่างหน้าตายังดีก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คน ‘กรรมเหม็น’
น้อยคนที่ทราบความลับประการหนึ่งของเกมกรรม นั่นคือเสน่ห์มิได้อยู่แค่ที่รูปร่างหน้าตา ท่วงทีกิริยา และการพูดการจาเท่านั้น ทว่ายังตั้งต้นออกมาจาก ‘วิธีคิด’ อันเป็นของภายในเลยทีเดียว กระแสความคิดจะถักทอรัศมีออกมาเสมอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนั่งนิ่งๆอยู่ใกล้บางคนแล้วคุณฟุ้งซ่านจับจดตามเขา ขณะที่กับอีกคนคุณรู้สึกมีสติ มีความกระตือรือร้น มีความคิดด้านบวก
คนฟุ้งซ่านมากๆจะขาดเสน่ห์ในกระแสความคิด ส่วนคนคิดได้เป็นระเบียบ และคิดได้อย่างคนตื่นตัวกระตือรือร้น จะก่อรังสีเสน่ห์ในตัวเองโดยยังไม่ทันต้องพูด นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ รู้ประจักษ์ได้ด้วยตนเอง ทว่าไม่มีใครสังเกตกันชัดๆ
อย่างไรก็ตาม เสน่ห์เป็นแค่แรงดึงดูด ไม่ใช่ใบรับประกันว่าคุณจะพบกับคนรักถูกใจ การพบคนรักที่คุณจะรักดูดดื่มจริงๆยังอิงอาศัยเหตุปัจจัยมากกว่าเสน่ห์ เช่นอดีตชาติเคยอยู่ร่วมกันมา และปัจจุบันชาติได้มีโอกาสเกื้อกูลกันระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่ากรรมใหม่ประการเดียวจะช่วยให้คุณพบรักที่หวานซึ้งได้เหมือนฝัน แต่ให้หวังว่าเสน่ห์จะไม่ทำให้คุณเงียบเหงา และในที่สุดจะดึงดูดคู่ที่เคยร่วมบุญให้ได้มาพบกัน
ที่อยู่อาศัย
การเปลี่ยนบ้านใหม่เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ เพราะที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดว่าทุกๆวันคุณจะรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ประมาณใด ระยะแรกอาจปีติโสมนัสหรือผ่องใสกับความใหม่ของบ้านมาก และแม้ระยะต่อมาจะเริ่มชาชิน แต่ก็มีความสุขความพอใจในที่อยู่เป็นพื้นฐาน
บุญจะไม่ลงมือก่ออิฐถือปูนสร้างบ้านสวยๆให้คุณอยู่ แต่บุญจะทำให้คุณมีสิทธิ์ได้อยู่บ้านสวยๆในทำเลเหมาะๆ บ้านที่เป็นบ้านของคุณอย่างแท้จริงนั้น อาจเป็นเงาสะท้อนของตัวคุณเอง เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในกระจกเงา แต่ตั้งอยู่บนที่ดินผืนที่คุณมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ
ถ้าจิตและกรรมของคุณแตกต่างไปมากๆ กระทั่งบ้านเก่าของคุณรองรับไม่ไหว จะมีเหตุบีบคั้นให้หาบ้านใหม่ และมักเป็นบ้านที่สอดคล้องกับจิตและกรรมใหม่ของคุณโดยตรง ฉะนั้นเมื่ออยู่บ้านใหม่คุณจะรู้สึกไม่แปลกแยก ไม่ผิดที่ผิดทาง ภายในสองสามวันจะมีความเป็นกันเองกับบ้านราวกับอยู่ที่นั่นมาตลอด
ต้องเข้าใจว่าภาวะความร่ำรวยไม่ได้วัดจากคฤหาสน์หรือปราสาทราชวังหลังโตใดๆ แต่วัดจากความเปี่ยมสุขที่มีจากสมบัติและสิ่งแวดล้อม ในเมื่อบ้านเป็นตัวคุณ สิ่งแวดล้อมของบ้านมีผลกับคุณ ถ้าคุณย้ายบ้านก็คือเปลี่ยนหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญที่สุดของชีวิต
การจะมีกำลังเปลี่ยนบ้านนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว บางคนแม้อาศัยศาสตร์เช่นฮวงจุ้ยมาช่วยเลือกบ้านให้ชะตาดีขึ้นทั้งตำแหน่งที่ตั้ง ทั้งทิศทาง ทั้งรูปลักษณะบ้าน ทั้งสิ่งแวดล้อม ฯลฯ แต่ในเมื่อละกรรมเดิมไม่ได้ก็ไม่พ้นต้องเจออะไรแบบเดิมๆอยู่ดี แค่พลิกเหลี่ยมพลิกมุมชะตาเพียงเล็กน้อยจนเหมือนอะไรๆกระเตื้องขึ้นไม่นาน ก็ต้องกลับเป็นเหมือนเมื่อครั้งอยู่บ้านเดิมอีก
ยิ่งคุณทดลองใช้ศาสตร์เกี่ยวกับเคล็ดลางมาช่วยมากขึ้น คุณจะยิ่งพบว่าถ้าไม่มีอะไรกระตุ้นให้คุณเปลี่ยนแปลงจิตใจ วิธีคิดวิธีพูด และวิธีทำ กระทั่งเกิดนิสัยใหม่ตั้งมั่น ชะตาชีวิตของคุณจะย่ำอยู่ในวงจรเดิมๆเสมอ เมื่อภายในอันเป็น ‘ผู้สร้างบ้าน’ ที่แท้จริงของคุณเปลี่ยนแปลง แม้คุณไม่ย้ายบ้าน บ้านเดิมก็จะเกิดการดัดแปลงบางอย่างให้เข้ากับกรรมใหม่ของคุณไปเอง เช่นความ‘หนัก’ ของคานอัปมงคลบางคานจะเบาลง สัมผัสได้ด้วยจิตของผู้ที่รู้ได้ หรือไม่ก็จะมีเหตุให้ตกแต่งต่อเติม และปรับปรุงลักษณะบ้านให้มีลักษณะเข้าที่เข้าทาง เข้าทิศเข้ามุมดีขึ้นโดยที่คุณไม่ต้องตั้งใจแต่อย่างใดเลย
โดยทั่วไปหากคุณเป็นเจ้าของบ้านใหม่ หรือมีอิทธิพลครอบครองดูแล บ้านจะสะท้อนกรรมให้เห็นชัดประการหนึ่ง คือคุณทำความพอใจให้คนอื่นไว้อย่างไร บ้านและสิ่งแวดล้อมก็จะให้ความพอใจกับคุณอย่างนั้น คุณจะไม่สามารถชอบบ้านที่เข้ากับกรรมของคุณไม่ได้ แม้ฝืนเข้าไปอยู่ก็จะเหมือนคับใจ หรือถูกผลักไสออกมา
เมื่อเห็นตัวอย่างของการเปลี่ยนบ้าน ก็จะอนุมานการเปลี่ยนภพของตัวเองในเกมกรรมใหม่ได้ แต่ขอให้ทราบว่าถ้าบุญของคุณถึงสวรรค์ บ้านหรือปราสาทราชวังไหนๆในโลกมนุษย์ก็ยากจะทำให้คุณรู้จริงๆว่าที่อยู่ในอนาคตควรแก่การพิสมัยสักขนาดไหน
คะแนนที่จะให้ผลในอนาคตชาติ
๑) พ่อแม่
- ๑ คะแนน สำหรับการการผูกเวรกับพ่อแม่ที่ไม่ดี และ/หรือ สำหรับการทิ้งขว้างลูก
๐ คะแนน สำหรับความไม่แน่นอนในการอภัยพ่อแม่ที่ไม่ดี และ/หรือ สำหรับการรับผิดชอบลูกอย่างไม่คงเส้นคงวา
+ ๑ คะแนน สำหรับการอภัยพ่อแม่ที่ไม่ดี และ/หรือ เลี้ยงลูกด้วยความรับผิดชอบ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก นอกจากนั้นยังเหมารวมถึงกรรมดีที่สั่งสมมากแล้วให้ผลเป็นการได้โอกาสเกิดกับพ่อแม่ที่มีบารมีรองรับกันได้ด้วย
๒) เพศ
- ๑ คะแนน สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ที่ผิด
๐ คะแนน สำหรับความไม่แน่นอนในการควบคุมความประพฤติทางเพศ
+ ๑ คะแนน สำหรับความซื่อสัตย์กับคู่ของตน
๓) รูปร่างหน้าตา
- ๑ คะแนน สำหรับความเป็นคนตระหนี่ และ/หรือ ความเป็นคนมีศีลบกพร่องเป็นประจำ
๐ คะแนน สำหรับความเป็นคนเอาแน่เอานอนในการให้ทานและรักษาศีลไม่ได้
+ ๑ คะแนน สำหรับความตั้งมั่นในทานและศีล เมื่อให้ทานก็ให้ด้วยน้ำจิตเคารพศรัทธา เมื่อรักษาศีลก็มีความปลาบปลื้มในศีลอันสะอาดของตน ไม่ได้ให้ทานและรักษาศีลด้วยความฝืนใจ
๔) แก้วเสียง
- ๑ คะแนน สำหรับการพูดโกหก พูดหยาบ พูดส่อเสียด กับพูดเพ้อเจ้อเป็นประจำ
๐ คะแนน สำหรับการเป็นคนเอาแน่เอานอนในการพูดดีหรือพูดร้ายไม่ได้
+ ๑ คะแนน สำหรับการพูดจริง พูดสุภาพ พูดถนอมน้ำใจ กับพูดอย่างมีสติเป็นประจำ และ/หรือ สวดมนต์สรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยศรัทธาอันเกิดจากความเข้าใจ และ/หรือ ใช้เสียงเป็นธรรมทานอันทำให้เกิดความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง
๕) สุขภาพ
- ๑ คะแนน สำหรับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ
๐ คะแนน สำหรับความเอาแน่เอานอนไม่ได้กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
+ ๑ คะแนน สำหรับความตั้งมั่นในการเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และ/หรือ ถวายยาจำเป็นหรือการรักษาแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นประจำ
๖) ฐานะ
- ๑ คะแนน สำหรับการเป็นคนตระหนี่ และ/หรือ หาเลี้ยงตัวด้วยความฉ้อฉลคดโกง
๐ คะแนน สำหรับความไม่แน่นอนในการให้ทานและวิธีหาเลี้ยงชีพ
+ ๑ คะแนน สำหรับการให้ทานด้วยจิตเคารพศรัทธาในบุญ และมีความคิดอนุเคราะห์แก่ผู้รับ
๗) ที่อยู่อาศัย
- ๑ คะแนน สำหรับการเป็นมือลอบวางเพลิงแม้เพียงครั้งเดียว และ/หรือ ทำให้บริวารเกิดความคับใจในที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก
๐ คะแนน สำหรับการไม่มีบุญหรือบาปเป็นพิเศษเกี่ยวกับที่พักอาศัย
+ ๑ คะแนน สำหรับการเอื้อเฟื้อที่พักแก่คนจรที่ต้องการ และ/หรือ สร้างถวายโบสถ์ วิหาร กับกุฏิที่พำนักสำหรับสงฆ์(อาจร่วมบริจาคร่วมกับผู้อื่นด้วยจิตศรัทธา หากกำลังใจแก่กล้า ปรารถนาให้เกิดที่พำนักสงฆ์จริงๆ ก็ได้บุญพอๆกับทำด้วยกำลังของตนเองเพียงลำพัง)
๘) ครู
- ๑ คะแนน สำหรับการยอมรับนับถือ และ/หรือ ขวนขวายช่วยเหลือครูที่สอนให้คิด พูด ทำในทางเป็นบาป ชมชอบการเบียดเบียน ขาดเหตุผลอันเป็นธรรม
๐ คะแนน สำหรับการกลับไปกลับมา และ/หรือ เปิดใจรับทั้งครูที่สอนเป็นบาปและเป็นบุญ
+ ๑ คะแนน สำหรับการยอมรับนับถือ และ/หรือ ขวนขวายช่วยเหลือครูที่สอนให้คิด พูด ทำในทางเป็นบุญ ละการเบียดเบียน เปี่ยมด้วยเหตุผลอันเป็นธรรม
๙) ความเฉลียวฉลาด
- ๑ คะแนน สำหรับการเป็นผู้เกียจคร้านหรือขวนขวายน้อยในการศึกษา เมื่อเกิดปัญหาจะรอใครสักคนมาแก้ให้ ไม่ชอบคิดเอง ไม่ชอบรับผิดชอบกับปัญหาของตนเอง ใครถามอะไรแม้รู้ก็เก็บงำไว้ หรือแลกกับผลประโยชน์เท่านั้น
๐ คะแนน สำหรับการเป็นคนศึกษาเล่าเรียนตามหน้าที่ให้พอรู้ เมื่อเกิดปัญหาก็แก้ปัญหาเอาตัวรอดเฉพาะหน้า สลับกับการพยายามผลักภาระ โยนปัญหาให้คนอื่น
+ ๑ คะแนน สำหรับการเป็นผู้ขวนขวายศึกษาเล่าเรียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากมีความรู้ความสามารถไว้ทำประโยชน์ให้ตนเองและสังคม กับทั้งชอบตอบคำถามที่ตนรู้ ใครถามอะไรไม่เคยหวงวิชา บางทีเห็นใครลำบากก็เสนอตัวสอนเองแล้วก็ไม่กลัวปัญหา มีความภูมิใจที่ได้ใช้ความคิดความอ่านแก้ปัญหาของส่วนรวม
๑๐) วิธีใช้สติคิดอ่าน
- ๑ คะแนน สำหรับการเป็นผู้ไม่แสวงหาคำตอบ ว่ากรรมอันใดเป็นประโยชน์ กรรมอันใดเป็นโทษทั้งในปัจจุบันและอนาคตเมื่อพบสมณะก็ไม่ใส่ใจ คิดว่าตนรู้ดีอยู่แล้ว ไม่หัวโบราณล้าสมัยเหมือนอย่างนักบวชทั้งหลาย
๐ คะแนน สำหรับการรับฟังเทศนาธรรมจากสมณะตามๆกัน ไม่ออกท่าปฏิเสธ บางครั้งแสดงความเคารพ แต่ใจมิได้พิจารณาตามอรรถตามธรรมที่สดับฟังอย่างจริงจัง
+ ๑ คะแนน เป็นผู้มีวาสนาได้สดับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก มีความสงสัยใคร่รู้อย่างจริงจังว่ากรรมใดเป็นประโยชน์ กรรมใดเป็นโทษทั้งในปัจจุบันและอนาคต เข้าหาสมณะถึงที่เพื่อสอบถาม หรือสนใจซื้อหาตำรามาอ่านเองโดยไม่ต้องมีญาติมิตรคะยั้นคะยอชักชวนมาก นอกจากนั้นยังไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ ว่าสมณะใดกล่าวไว้ชอบ มีความสมเหตุสมผลสมณะใดกล่าวไว้พิกล ไม่สมเหตุสมผล โดยย่นย่อคือเป็นผู้สดับธรรมด้วยดี พิจารณาตามแล้วจึงปลงใจเชื่อว่ากรรมอย่างนี้ดีสมควรทำ กรรมอย่างนั้นชั่ว สมควรหลีกเลี่ยง
ปัจจัยที่เป็นตัววาดแผนผังอนาคตชาติ
๑) ความสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอของกรรมจะเป็นตัวบอกว่าคุณตัดสินใจเลือกเป็นใครคนหนึ่งแน่ๆ มีเส้นทางเดียวแน่ๆ นิสัยใดของคุณตั้งมั่นตลอดชีวิต นิสัยนั้นจะติดตัวตามไปถึงชาติต่อๆไปอย่างแน่นอน
ความตั้งมั่นของนิสัยใจคอคุณที่รักษาได้ตลอดชีวิตเพียงชาติเดียว จะเอาชนะได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูในชาติหน้าหรือข้อบีบคั้นต่างๆให้เปลี่ยนแปลง เช่นถ้าคุณยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม แม้ต้องโดนความผูกพันอันเหนียวแน่นดึงให้ไปเกิดกับพ่อแม่ที่เลว หรือพบครูที่สอนผิดๆ คุณก็นึกค้าน เพราะบุญเก่าจะเป็นสัญญาณนำร่องให้คิดได้เองตั้งแต่เด็กๆ แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ที่เมื่อทำบาปแล้วตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมเลวร้ายแบบไหนก็กลายเป็นคนเลวร้ายแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม กรรมมีหลายแบบ คุณตั้งมั่นในกรรมได้หลายๆชนิด ฉะนั้นผังกรรมใหม่ของคุณในอนาคตย่อมไม่ตื้นเขิน เส้นทางชีวิตและสิ่งที่คุณจะพบตามทางขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำอย่างสม่ำเสมอทั้งหลายก่อน ตัวคุณในชาติหน้าอาจคิดว่าเป็นฟ้าลิขิต เป็นเทวดาบันดาล หรือเป็นความเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายที่ปราศจากเหตุผล ทั้งที่คุณเองคือสถาปนิก คือวิศวกรสร้างผังกรรมทั้งสิ้น
กรรมที่ทำสม่ำเสมอส่วนใหญ่จะให้ผลทั้งชาตินี้ชาติหน้า แต่บางอย่างอาจให้ผลน้อยในโลกนี้เพราะติดเงื่อนไขทุนเดิม แต่ก็จะให้ผลมากในโลกหน้าวันยังค่ำ ยกตัวอย่างเช่นคุณอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มีสมบัติน้อย มีข้าวปลาบริโภคน้อย แต่ใจใหญ่ ชอบให้อาหารหมาแมวไก่กา ตลอดจนเอื้อเฟื้อน้ำท่าให้เพื่อนบ้านเป็นประจำด้วยน้ำใจอยากอนุเคราะห์จริงๆ ทุนเก่าของคุณกับคะแนนใหม่ที่ไม่แรงพอ จะไม่ทำให้คุณพ้นจากสภาพความยากจนทันตา ทว่าเมื่อสิ้นสุดชีวิตนี้ ความเป็นคนใจกว้างจะทำให้คุณได้อยู่ในภพใหม่ที่กว้างขึ้น สว่างสบายและมั่งคั่งขึ้น
แน่นอนว่าหากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในทันที คุณจะไม่มีความตกใจ เพราะทุกสิ่งจะเริ่มต้นใหม่หมด นับแต่การลบความจำ การค่อยๆเห็นตนเองเติบโตมาในบ้านที่มีข้าวปลาอยู่ในครัวให้กินไม่จำกัด แต่หากคุณไปเกิดบนเทวโลก คุณจะรู้สึกเหมือนฝันร้ายที่พลิกเปลี่ยนเป็นฝันดีทันทีอย่างน่าตื่นใจ
๒) กรรมที่ทำด้วยเจตนาหนักแน่นเป็นพิเศษ
ความรุนแรงของเจตนาจะย้อนกลับมาเป็นความรุนแรงของสิ่งกระทบเช่นกัน จะเห็นว่าคนเราแม้ทำกรรมชนิดเดียวกันเป็นประจำ แต่ก็มีเจตนาหนักเบาผิดแผกแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นผลก็ย่อมหนักเบาและมีความไม่สม่ำเสมอตามไปด้วย โดยมากผังกรรมใหม่ของคนส่วนใหญ่แม้มีอะไรๆให้คุณเจอซ้ำๆอยู่ร่ำไป ก็มีความน่ายินดียินร้ายที่ผิดแผกแตกต่างในด้านน้ำหนัก แต่ก็จะมีบางคน เจอดีเจอร้ายหนักหนาสาหัสตลอดชีพ นั่นก็สะท้อนว่าน้ำหนักเจตนาของเขาในอดีตชาติคงเส้นคงวาผิดมนุษย์มนาเช่นกัน
๓) กรรมที่ทำด้วยความเพียรนานเป็นพิเศษ
ความเพียรหมายถึงความใส่ใจหรือความพยายามอย่างต่อเนื่อง ผลจะมาในรูปของความยืดเยื้อในการให้ผล หากเกิดใหม่บนสวรรค์หรือนรก จะมีอายุขัยยืนนาน และเมื่อยังต้องท่องเที่ยวเกิดตายอีกหลายครั้ง กรรมนี้ก็จะมีส่วนจัดผังชีวิตด้วยร่ำไป ไม่หมดไม่สิ้นโดยง่าย แม้บางชาติจะไม่ทำกรรมนี้เลยก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่นบางคนจะมีนิสัยประเภทจะทำทานต่อเมื่อพบสมณะที่น่าศรัทธา เผอิญชาติหนึ่งมีวาสนาพอจะพบพระพุทธเจ้าและอริยสาวก บังเกิดความเลื่อมใสเป็นล้นพ้น ก็ขวนขวายเพียรใส่บาตร เพียรอาสารับใช้หรือจัดหาสิ่งของให้พวกท่านตลอดชีวิต สะสมคะแนนความเพียรไว้อย่างล้นหลามเกินประมาณถูก
เช่นนี้แม้ชาติต่อๆมาจะเป็นเศรษฐีขี้ตืด ไม่ค่อยบำรุงศาสนา เพราะไม่พบนักบวชที่น่าเลื่อมใสพอ อย่างมากก็ให้ทานคนยากคนจนบ้าง ไม่ได้ทำทานที่มีความสว่างรุ่งเรืองใหญ่หลวง แต่ผลที่เคยถวายสังฆทานชั่วชีวิตด้วยพากเพียรสม่ำเสมอเพียงชาติเดียว ก็จะส่งให้ได้เป็นเศรษฐีใหญ่ทุกครั้งที่เกิดในภพมนุษย์ และเป็นเทวดาผู้มีสมบัติทิพย์มหาศาลทุกครั้งที่เกิดบนสวรรค์
๔) กรรมที่ทำด้วยโสมนัสแรงเป็นพิเศษ
โสมนัสคือเครื่องวัดว่ากรรมที่ทำในครั้งหนึ่งๆมีความใหญ่ในตัวของกรรมเองเพียงใด เพราะจิตและเจตนาในการทำกรรมย่อมปรุงแต่งให้เกิดโสมนัสผิดแผกกันไป
หากโสมนัสในการทำกรรมมีความแรงเป็นพิเศษ ไม่ว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว การเสวยผลจะเป็นไปด้วยความยิ่งใหญ่ กว้างขวาง หากเป็นโสมนัสในกรรมขาว ผลจะน่าชื่นใจแจ่มชัดยิ่ง เช่นการถวายสังฆทานด้วยโสมนัสแรงทุกครั้ง จะทำให้คุณเกิดใหม่ในที่ที่มีสมบัติบันดาลปีติ น่าพิสมัยยากแก่การเบื่อหน่าย
แต่หากเป็นโสมนัสในกรรมดำ ผลก็จะน่าขนพองสยองเกล้ายิ่ง เช่นถ้าคุณแค้นศัตรูคนหนึ่งชนิดฝังกระดูก วันใดสบโอกาส ได้ฆ่าเขาด้วยวิธีตัดมือตัดเท้าทิ้งทีละชิ้น แถมก่อนสิ้นใจบังคับให้เขาดูภรรยาถูกข่มขืนฆ่าอย่างทรมาน แล้วคุณเกิดความปลื้มใจที่ล้างแค้นสำเร็จ ความปลาบปลื้มนั้นคือโสมนัสอย่างแรงเป็นพิเศษในกรรมชั่วที่ใหญ่หลวง เมื่อให้ผลในที่เกิดใหม่จะทำให้คุณต้องเผชิญกับเรื่องโหดร้ายนานัปการ แม้หมดกรรมในนรก มีโอกาสมาเป็นมนุษย์อีก ก็เหมือนทั้งชีวิตจะต้องหัวซุกหัวซุนหลบหนีการไล่ล่าที่เหี้ยมเกรียมร่ำไป คุณมีสิทธิ์ถูกเกมกรรมทรมานด้วยการเหวี่ยงไปเป็นนักโทษที่ผู้คุมไม่ยอมให้ตายดี และแม้คิดฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้ พูดง่ายๆว่าผังชีวิตจะถูกวาดให้เจอแต่เคราะห์ร้ายน่าสยดสยอง ได้รับความทรมานกายและเจ็บช้ำน้ำใจเกินจินตนาการ
๕) กรรมที่ทำกับบุคคลพิเศษ
แต่ละคนเป็นเป้าให้เกิดการขยายผลกรรมมากน้อยต่างกัน เช่นถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีนิสัยนักเลง แล้วก็ไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นพิเศษ แต่บังเอิญเคราะห์ร้ายที่มีคู่เวรคนหนึ่งไปบวชพระ แล้ววาสนาบารมีพอจะบรรลุมรรคผล อย่างนี้พอคุณเจอท่านขณะเป็นอริยบุคคลแล้ว และคุณไปกร่างใส่ท่านแค่ครั้งสองครั้ง น้ำหนักรรมดำก็อาจจะมากขนาดกลายเป็นตัวกำหนดรูปพรรณสัณฐานในอนาคต เช่นตัวเตี้ย มีลักษณะต่ำต้อยน่าดูถูก กับทั้งมีอำนาจน้อย
ตรงข้าม หากคุณชอบกร่าง ประมาณว่าชอบยกตนข่มท่านหรือแสดงท่ายิ่งใหญ่ อาจมีรังแกชาวบ้านเล็กน้อย แต่กับพระสงฆ์องค์เจ้าที่น่าเลื่อมใสแล้วก้มกราบแทบเท้าทุกครั้ง ไม่ทำตัวผยองเลย อย่างนี้กรรมขาวอาจมีน้ำหนักเกินกรรมดำ คือจะมีร่างกายสูงสง่าไม่อายใคร แต่อาจมีอำนาจไม่มากสมความสง่าของร่าง ผังชีวิตมักถูกจัดให้เป็นใหญ่ต่อเมื่อตั้งใจนำงานบุญ แต่ถ้าเป็นงานทางโลกจะไม่ค่อยมีใครให้ตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆ
ทั้งบุญทั้งบาป เมื่อทำกับคนทุศีล จะมีผลน้อยกว่าทำกับคนมีศีล
เมื่อทำกับคนมีศีล จะมีผลน้อยกว่าทำกับอริยเจ้าชั้นต้นๆ
เมื่อทำกับอริยเจ้าชั้นต้นๆ จะมีผลน้อยกว่าทำกับอริยเจ้าชั้นสูงเช่นพระอรหันต์
เมื่อทำกับพระอรหันต์ จะมีผลน้อยกว่าทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้บรรลุธรรมด้วยพระองค์เอง
เมื่อทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้า จะมีผลน้อยกว่าทำกับพระพุทธเจ้าผู้สถาปนาศาสนาพุทธได้
๖) กรรมที่ทำกับมหาชน
มหาชนคือคนจำนวนมากอันไม่ทราบแน่ว่าเท่าใด จัดเป็นกรรมที่ทำแบบไม่เลือกหน้า เมื่อให้ผลก็ย่อมใหญ่หลวงกว่ากรรมที่ทำเฉพาะคน
กรรมขาวที่ทำกับมหาชนแล้วมหาชนได้รับประโยชน์สุข จะส่งผลให้เป็นคนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง คือต่อให้ชาตินี้คุณทำดีแบบปิดทองหลังพระ ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังประโยชน์สุขของมวลชนคือใคร หน้าตาชื่อเสียงเรียงไร แต่คุณทราบแก่ใจว่าสิ่งที่คุณทำไปนั้น เป็นผลดีอย่างชัดเจนกับสังคมหมู่มาก อย่างนี้ชาติถัดไปคุณก็จะฉายรัศมีเด่นเป็นที่ยอมรับกว้างขวางอยู่ดี
ตรงข้าม กรรมดำที่ทำกับมหาชนนั้น จะแปรรูปเป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเหม็นหน้า ใครเจอก็หมั่นไส้ และมักมีเหตุให้คุณต้องตกไปอยู่ในสภาพให้คนชิงชังมากๆเสียด้วย แม้ว่าคุณจะพยายามทำดี อยากอยู่ในสังคมเยี่ยงคนปกติ สังคมก็มักมาพาลใส่ หรือไม่ก็จับคุณเป็นเป้ายำสหบาทาได้ง่ายๆ โดยไม่มีใครเห็นใจสงสารเสียด้วย
๗) กรรมที่ทำกับวัตถุพิเศษ
วัตถุในที่นี้หมายถึงสิ่งที่ทำไว้เป็นเครื่องหมายยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือเป็นศูนย์รวมความเคารพศรัทธา เช่นพระพุทธรูป หรือรูปเคารพของศาสนาทั้งหลาย เมื่อทำด้วยใจที่รู้ว่าเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ย่อมได้รับผลร้ายเกินคาด เช่นเกิดในตระกูลต่ำ โดนดูถูกดูแคลน ค่าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฉะนั้นต้องทำความเข้าใจว่าวัตถุไม่ใช่สักแต่เป็นก้อนดินก้อนหินเท่าๆกัน วัตถุที่มีผลทางใจมากย่อมมีพลังสะท้อนในตัวเองมากไปด้วย
เตรียมพร้อมสำหรับเกมหน้า
ทุกคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ คือผู้ถูกกำหนดไว้ให้ตายทั้งหมดทั้งสิ้น เหมือนนักโทษที่ถูกพิพากษาให้รับโทษประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมีความผิดอุกฉกรรจ์สถานเดียวคือไม่รู้ตัวว่ากำลังเล่นเกมกรรม ต้องสั่งสมคะแนน ต้องใช้หนี้ ต้องหาทางหนีเอาตัวรอด
แม้ยังไม่เชื่อสนิทเพราะยังไม่เห็นแจ้งด้วยตนเอง อย่างไรก็ต้องเผื่อขาดเผื่อเหลือไว้บ้าง ไม่ใช่เข้าข้างตัวเอง นึกว่าเมื่อไม่เชื่อก็แปลว่าชาติหน้าคงไม่มี คนฉลาดถูกหลอกให้ศึกษาเรื่องกำเนิดของจักรวาล ถูกหลอกให้คิดเก็งกำไร ถูกหลอกให้คิดพัฒนาเทคโนโลยีเสริมกิเลส ยากจะหันมาสนใจใช้เทคโนโลยีสำรวจความจริงเกี่ยวกับจิตและกรรม โลกจึงเหมือนกระดานลื่นที่ลาดลงต่ำง่ายมากๆ เพราะเต็มไปด้วยคนฉลาดเรื่องนอกตัว แต่หลงเขลาเกี่ยวกับเรื่องในตัวกันแทบทั้งสิ้น
ผู้มีปัญญาย่อมเห็นความไม่แน่นอน เห็นตามจริงว่าแรงดึงดูดของกิเลสนั้นต้านทานได้ยาก แม้แต่อยู่เฉยๆก็เท่ากับกำลังถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อยๆ จึงควรปรารถนาหลักประกันในการเดินทางไกลกัน
คำถามที่ควรหมั่นถามตัวเองไม่ให้ลืมมีอยู่ ๓ ข้อ ได้แก่
๑) ทำอย่างไรจึงจะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ดี?
คำตอบคือทำแต่กรรมที่ดีๆ ตามกฎของเกมกรรมอันดับต้นๆคือคุณจะมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นแดนเกิดตลอดไป ฉะนั้นอย่าน้อยใจและอย่าชะล่าใจกับกรรมเก่าที่ส่งคุณมาอยู่กับพ่อแม่ดีหรือไม่ดีในชาติปัจจุบัน อยากมีพ่อแม่แบบไหนในครั้งหน้า ก็ขอให้ประพฤติตัวแบบนั้นมากๆไปจนชั่วชีวิตก็แล้วกัน กรรมที่คุณทำเป็นอาจิณนั่นแหละตัวเลือกแดนเกิด ตัวเลือกเผ่าพันธุ์ใหม่ให้
๒) ทำอย่างไรจึงจะพบผู้ชี้นำทางถูกทางตรง?
คำตอบคือยอมรับผู้สอนการไม่เบียดเบียนเป็นสรณะ ใครสอนให้เบียดเบียนก็หลีกเลี่ยงเขาเสีย และถ้าดีกว่านั้น คือสอนเรื่องกรรมวิบาก เพื่อให้เชื่ออย่างมีเหตุผล เชื่ออย่างมีจุดหมายปลายทางแน่ชัด พิสูจน์ได้ก่อนตาย
ถ้าคุณเลือกที่จะเชื่อเรื่องกรรมวิบาก ก็เท่ากับคุณต้องศรัทธาพระพุทธเจ้า เพราะมีศาสดาองค์เดียวให้คุณเลือกเชื่อพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เดียวที่ชี้ให้รู้ตามว่า
๑) กรรมขาวคือบุญที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ให้ผลเป็นสุข
๒) กรรมดำคือบาปที่ทำแล้วเป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ให้ผลเป็นทุกข์
๓) กรรมครึ่งขาวครึ่งดำคือบุญที่เจือบาป ให้ผลครึ่งสุขครึ่งทุกข์
๔) กรรมไม่ขาวไม่ดำคือเจริญสติรู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์ ให้ผลอเป็นนิพพาน
หากคุณศึกษาแก่นสารของพุทธศาสนาได้อย่างถ่องแท้ ศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็จะตั้งมั่น และจะส่งผลให้ได้ไปพบพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปอีก หรืออย่างน้อยถ้าถือกำเนิดในกาลที่ว่างจากพุทธศาสนา ก็เป็นต้องได้พบศาสดาผู้สอนการไม่เบียดเบียน ยอมคล้อยตามท่าน และประพฤติปฏิบัติตนตามท่าน เป็นพื้นฐานให้มั่นคงแน่นหนายิ่งๆขึ้นไป
๓) ทำอย่างไรจึงจะสำนึกผิดได้ง่าย?
คำตอบคือให้ปลูกฝังนิสัยไต่สวนตนเองบ่อยๆ อย่าหมั่นเพ่งโทษผู้อื่นจนติดเป็นนิสัย หรือเมื่อใดจำเป็นต้องเพ่งโทษผู้อื่น ก็ควรน้อมมาพิจารณาว่าเขาช่วยเป็นกระจกเงาส่องให้เราเห็นตนเองหรือไม่ ถ้าเห็นว่าน่าเกลียดน่าชังอย่างไรก็อย่าทำอย่างนั้น หรือทำอย่างนั้นอยู่ก็เลิกเสีย แน่นอนว่าการกระทำผิดคือเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคน แต่การสำนึกผิดคือเรื่องไม่ธรรมดาของมนุษย์บางคนที่จะได้ยกระดับขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น
ทุกครั้งที่สำนึกผิดอย่างแท้จริง คุณจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนดีมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะทีละนิดทีละหน่อยแบบหยอดเหรียญลงกระปุก ในที่สุดก็กลายเป็นความดีกองใหญ่ขึ้นมาได้
คนเราเป็นโรคทางใจตลอดเวลา ต่อให้แสนดีแค่ไหน พอทำดีมาถึงจุดหนึ่งคุณจะเป็นโรคหลงตัว โรคนี้เองทำให้ผลดีกลับไม่ดีเต็มที่ เช่นคุณไปอิจฉาริษยาหรือแข่งขันกันกับคนดีมีบุญด้วยกัน ก็กลายเป็นความหายนะของฝ่ายขาวด้วยกัน แต่หากปลูกฝังความสำนึกผิดไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่คุณยังไม่ใช่คนแสนดีที่หลงตัว ไม่ว่าคุณไปสูงแค่ไหนก็จะมีเครื่องฉุดมิให้ลอยตามลมเป็นว่าวขาดสายตลอดกาล
หมายเหตุไว้ด้วย ว่าแม้การสำนึกผิดจะเป็นของดี แต่ความรู้สึกผิดนานๆนั้นไม่ดี โดยเฉพาะที่รู้สึกผิดซ้ำซากชนิดแกะความทรมานใจไม่ออก ที่ถูกคือขอเพียงมีความสำนึกผิดอย่างแท้จริงวูบเดียว แล้วตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก ก็เป็นการเพียงพอแล้ว
บทสรุปของการมีชีวิตที่คิดไม่ถึง
๑) มองชีวิตเป็นเกม เกมกรรมคือเกมแห่งการปกปิด ไม่ใช่เปิดเผย คุณต้องศึกษา ต้องใส่ใจรายละเอียด โดยเอาชีวิตของตนเองเป็นที่ตั้งของการศึกษาอย่างสำคัญ และมีชีวิตของคุณเอง ซึ่งไม่ใช่เพียงชีวิตเดียวเป็นเดิมพัน
๒) อ่านเกมให้ออก แค่เริ่มเล่นเกมคุณก็มีหนี้แล้ว ไม่ใช่ไม่มี เกมเต็มไปด้วยแรงบีบคั้น คุณต้องทนแรงยั่วยุให้ได้ นโยบายที่ควรจำให้ขึ้นใจคือลดแต้มลบให้เหลือน้อยที่สุด เพิ่มแต้มบวกให้ได้มากที่สุด อย่าคิดว่าเกมกรรมเป็นเกมตื้นๆ ปลูกโพธิ์วันนี้พรุ่งนี้ได้อาศัยร่มเงาทันใจ อย่าไปคิดว่ากรรมจะล้าสมัย คุณเห็นโลกเลวร้ายก็ไม่จำเป็นต้องร้ายตามเขา ถ้าทำดีอยู่ในเขตเล็กๆของคุณเดี๋ยวเขตเล็กๆนั้นก็จะน่าอยู่ หรือแปรเป็นโลกใหม่ที่สุขสงบเป็นส่วนตัวได้
๓) พยายามหยุดเล่นเกมเสีย
เกมกรรมเป็นเกมแห่งความสูญเปล่า เล่นด้วยความเจ็บปวด เพื่อผลเป็นทุกข์น่าเหน็ดหน่ายยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น คุณไม่มีทางหนีนรกพ้นถ้าคิดเล่นเกมไปเรื่อยๆ วันหนึ่งต้องแพ้ แต่ถ้าอย่างน้อยชาตินี้คุณเห็นความจริง เห็นคุณค่าของการหยุดเกม ชาตินี้คุณจะเล่นเกมอย่างมีเป้าหมาย มีสาระแก่นสารถึงที่สุด
บทต่อไปของเล่มนี้ไม่มีแล้ว มีแต่บทต่อไปในชีวิตจริงของคุณเอง ที่เหลือเวลาน้อยเกินกว่าจะศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับเกมกรรมอันวิจิตรพิสดารทั้งหมด จึงควรรวบรัดตัดความ ศึกษาและลงมือยุติเกมหฤโหดนี้เลยดีกว่า เพราะมีสิทธิ์ทันก่อนจะต้องเริ่มเกมใหม่ด้วยความไม่รู้อีก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)