เด็กบังเอิญ

"...บทความต่างๆ ผมได้อ่านมาจากหนังสือต่างๆ และรวมรวมมาจากเว็บต่างๆด้วยและได้ยินมาด้วย ผมจึงรู้สึกว่า คำเหล่านี้และบทความเหล่านี้ อาจช่วยให้ เราได้ข้อคิดให้กำลังใจในการใช้ชีวิตบนโลกกลมๆใบนี้อย่างมีความสุขในสิ่งที่ดี งามสามารถหยิบเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยสมควรแก่ผู้สนใจครับ ... ขอขอบคุณทุกคน ณ โอกาสนี้ครับ...." ສະບາຍດີ (เด็กบังเอิญ...)

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กำลังใจ

นโปเลียน ฮิลล์ ทำอย่างไร จึงช่วยให้ลูกชายที่เกิดมาพิการไม่มีหู สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้?

นาทีแรกที่ นโปเลียน ฮิลล์ เห็นลูกชายแรกเกิดของเขานั้น เขาตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออก ทารกไม่มีหู!


หมอกล่าวว่า “ลูกชายคุณจะไม่ได้ยิน และจะพูดไม่ได้ เขาจะเป็นคนหูหนวกและใบ้ไปตลอดชีวิต”

นโปเลียน ฮิลล์ เป็นนักเขียนหนังสือเสริมกำลังใจที่มีชื่อเสียงของอเมริกาต้นศตวรรษที่ 20 คราวนี้นักเขียนที่เสริมสร้างกำลังใจให้คนอื่นกลับต้องการกำลังใจอย่างที่สุด!

เขาไม่เชื่อว่าการไม่มีหูเป็นจุดสิ้นสุดอนาคตของทารกคนนี้ เขาปฏิเสธที่จะเชื่อหมอว่าเด็กหมดหวังแล้วในชาตินี้ เขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อหมอ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้ลูกหูหนวกและเป็นใบ้โดยเด็ดขาด

แล้วเขาก็นึกถึงคำคำหนึ่ง : ความปรารถนาอย่างแรงกล้า Burning Desire

เขาเชื่อว่าหากความปรารถนาแรงกล้าพอ ธรรมชาติจะทำให้มันเกิดขึ้นเองตามทางของมัน เขาพร่ำบอกกับตัวเองว่า ต้องมีหนทางที่ทำให้เด็กได้ยินและพูดได้เหมือนปกติ และเขาต้องค้นมันให้พบจนได้

แต่ก่อนอื่น เขาต้องฝังไฟความปรารถนาอย่างแรงกล้านี้ใส่ในหัวลูกชายตั้งแต่เด็กว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ลูกสามารถก้าวข้ามความพิการทางกายภาพไปสู่เป้าหมายได้ ถ้าลูกต้องการมันจริงๆ”

ชื่อของทารกคนนี้คือ แบลร์ ตั้งแต่เล็ก แบลร์ได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเด็กทั่วไป เข้าเรียนในโรงเรียนธรรมดา ทั้งยังถูกห้ามเรียนภาษามือ เพราะพ่อแม่มุ่งมั่นให้แบลร์เป็นคนปกติให้จงได้

แต่เมื่อถึงวัยที่เด็กทั่วไปเริ่มพูด ลูกของเขาเงียบสนิท ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินอะไรหรือส่งเสียงสักคำ

ในเมื่อไม่มีหูสำหรับการได้ยิน และเสียงคือ รูปแบบของการสั่นสะเทือนอย่างหนึ่ง นโปเลียน ฮิลล์ จึงพูดกับลูกโดยแตะริมฝีปากที่กะโหลกศีรษะบริเวณ Mastoid Bone ข้างหู ส่งคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนตรงถึงหัวของลูกโดยไม่ต้องผ่านหู

คนเป็นพ่อแม่รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ทารกสามารถได้ยินด้วยวิธีนี้อย่างน้อยในระดับหนึ่ง พวกเขาสื่อสารด้วยวิธีนี้อย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า

ผู้เป็นพ่อซื้อจานเสียงมาเล่นเพลงให้ลูกฟัง และสังเกตเห็นว่าเด็กชอบ ‘ฟัง’ โดยงับฟันที่ขอบจานเสียง ภายหลังจึงรู้ว่ามันเป็นหลักการฟังเสียงแบบ Bone Conduction หรือการส่งคลื่นเสียงสู่หูชั้นในผ่านกระดูกที่กะโหลกศีรษะ

พ่ออ่านนิทานที่แต่งเองให้ลูกฟังเป็นประจำ เป็นนิทานที่มีคติสอนใจว่า อุปสรรคทางร่างกายไม่ใช่ปมด้อย ปลูกฝังให้มองโลกในแง่ดี ใช้ความเชื่อและความปรารถนาแรงกล้านำทาง

พ่อฝังทัศนคติในเชิงบวกแก่ลูกว่า “รู้ไหมว่าลูกจะมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น เช่น ครูจะดูแลลูกพิเศษกว่าคนอื่น ถ้าลูกโตพอขายหนังสือพิมพ์เอง ก็จะได้เงินทิปมากกว่าเด็กทั่วไป เพราะใครๆ ก็ชอบคนที่สู้ชีวิต”

อาจเป็นการปลูกฝังการมองโลกในแง่ดีอย่างนี้เอง ตั้งแต่เด็ก แบลร์ไม่ขี้งอแง พึ่งพาตนเองได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนพิการ

ความสามารถได้ยินของแบลร์ด้วยวิธีนี้พัฒนาขึ้นตามลำดับ ในยามปกติเขาไม่ได้ยินเสียงคนอื่นพูด ยกเว้นตอนตะโกนใกล้ๆ

เมื่ออายุเจ็ดขวบแบลร์ขออนุญาตพ่อไปขายหนังสือพิมพ์เหมือนเด็กคนอื่นๆ แม่ไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับเด็กเล็กที่เดินเพ่นพ่านตามถนน โดยไม่ได้ยินเสียงอะไร

บ่ายวันหนึ่งเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ ทั้งบ้านเหลือแต่คนใช้กับเขา เด็กชายปีนหน้าต่างครัวออกจากบ้าน ยืมเงินหกเซ็นต์จากเพื่อนบ้าน เอาไปซื้อหนังสือพิมพ์ไปขาย นำกำไรไม่กี่เซ็นต์ที่ได้ไปลงทุนซื้อหนังสือพิมพ์อีก แล้วเอาไปขายอีกรอบ ทำเช่นนี้หลายรอบจนถึงเย็น หลังจากคืนเงินหกเซ็นต์ไปแล้ว เขาได้กำไรสี่สิบสองเซ็นต์

ค่ำนั้นแบลร์นอนหลับ มือยังกำเงินที่ได้มาจากการขายหนังสือพิมพ์ คนเป็นแม่ร้องไห้เมื่อรู้ความจริงว่าเด็กชายกล้าออกไปสู้โลกภายนอกด้วยตัวเอง เขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนพิการ

การปลูกฝังเด็กไม่ให้รู้สึกว่าตนเองพิการทำให้เด็กกล้า มุ่งมั่น พึ่งตนเองได้ เป็นคุณสมบัติที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

แบลร์พัฒนาทักษะเฉพาะตัวจนสามารถได้ยินและพูดได้เกือบเหมือนคนปกติ แบลร์เรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทำงานเช่นคนปกติ และประสบความสำเร็จในชีวิต

ชีวิตของแบลร์ไม่มีทางเป็นอย่างที่เป็นอยู่ หากเขาไม่ได้รับการปลูกฝังทัศนคติที่จะสู้ และหากพ่อแม่ของเขาเชื่อคำตัดสินของหมอและยอมแพ้ตั้งแต่วันแรก เพราะโดยหลักวิชา เขาไม่มีทางสามารถได้ยินเลยเด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

นี่เป็นตัวอย่างของพลังของไฟปรารถนาอย่างแรงกล้า ราวกับว่าธรรมชาติสร้างพลังชดเชยให้ความไม่ปกติ ขอเพียงรักษาไฟนั้นไว้มิให้ดับ คนที่อวัยวะไม่สมประกอบก็อาจเดินไปได้ไกลกว่าคนมีอวัยวะครบสามสิบสองด้วยซ้ำ

แน่ละ ไฟปรารถนาอย่างแรงกล้านี้อาจใช้ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ในทุกกรณี แต่มันก็ไม่จบด้วยศูนย์เปอร์เซ็นต์แน่นอน อย่างน้อยที่สุดใครคนนั้นก็ไม่ดูถูกตัวเอง และมันคือ คุณสมบัติที่แม้แต่คนร่างกายสมบูรณ์จำนวนมากขาด ไม่มีอะไรน่าหดหู่ไปกว่าการเห็นคนปกติทำตัวเป็นคนพิการ

พ่อแม่จำนวนมากในโลกเลี้ยงลูกให้เป็น ‘คนพิการ’ โดยไม่รู้ตัว ปลูกฝังความคิดให้เด็กต้องพึ่งพาคนอื่นไปตลอดชีวิต กลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต

ความไม่สมประกอบทางกายภาพเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ ขนาดสมองและหน้าตาก็เลือกไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่เป็น ‘คนพิการ’ ได้



วินทร์ เลียววาริณ
หมายเหตุ : เรื่องของแบลร์เก็บความมาจากหนังสือเรื่อง
Think and Grow Rich (1937) ของนโปเลียน ฮิลล์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น