เด็กบังเอิญ

"...บทความต่างๆ ผมได้อ่านมาจากหนังสือต่างๆ และรวมรวมมาจากเว็บต่างๆด้วยและได้ยินมาด้วย ผมจึงรู้สึกว่า คำเหล่านี้และบทความเหล่านี้ อาจช่วยให้ เราได้ข้อคิดให้กำลังใจในการใช้ชีวิตบนโลกกลมๆใบนี้อย่างมีความสุขในสิ่งที่ดี งามสามารถหยิบเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยสมควรแก่ผู้สนใจครับ ... ขอขอบคุณทุกคน ณ โอกาสนี้ครับ...." ສະບາຍດີ (เด็กบังเอิญ...)

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำไมโลกถึงมืด ??  บทความดีๆที่อ่านแล้วมีข้อคิด..

ก่อนนอนในค่ำคืนหนึ่งท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าว 
ลูกชายและคุณพ่อเพิ่งเข้านอนได้ไม่นาน 

ลูก “พ่อครับทำไมโลกนี้ถึงมีความมืดล่ะครับผมอยากให้มีแต่ความสว่างและเย็นสบาย 
จะได้มีแต่ความสุขทั้งวันเลย” 

พ่อ “ที่มีความมืดก็เพราะว่าโลกนี้มีความสว่างนะซิลูก” 

ลูก “หนูไม่เข้าใจ ทำไมมีความสว่างแล้วต้องมีความมืดด้วย” 

พ่อ “สมมุติว่าถ้าโลกนี้ไม่เคยมีแสงสว่างมาก่อน หรือว่าเราตาบอดแต่กำเนิด เราไม่เคยเห็นแสงใดๆมาตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย ความรู้สึกที่เราไปให้ค่าสิ่งหนึ่งมากกว่าสิ่งหนึ่งนั่นแหละคือปัญหา 

มองในอีกแง่มุมหนึ่ง ธรรมชาติก็คือความสมดุล ความสมดุลก็คือไม่หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงถ่ายเทเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป ซึ่งทำให้คนเรายังดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ เช่นเมื่อมีมืดแล้วก็มีสว่าง มีหนาวเย็นแล้วก็มีอบอุ่น มีแห้งแล้งแล้วก็มีฝนตก มีความเจริญเต็มที่แล้วก็มีความเสื่อมลง 
มีทุกข์แล้วก็มีสุข มีกลางคืนให้เราผักผ่อนหลับนอน แล้วก็มี รุ่งเช้าวันใหม่อันสดใสให้เราได้ชื่นชมทุกๆวันไงล่ะ 

พ่อ"แล้วลูกลองคิดดูซิว่า ถ้าโลกนี้มีแต่ความสว่างโลกนี้จะเป็นอย่างไร?” 

ลูก “หนูจะได้ไม่ต้องนอนไง จะได้เล่นทั้งวันทั้งคืนเลย” 

พ่อ “ใช่แล้วลูกการมองสิ่งต่างๆด้านเดียวอย่างที่ลูกมองนั้นแหละทำให้ลูก ไม่อยากให้มีกลางคืน แต่ รู้ไหมล่ะว่าถ้ามีแต่กลางวันเราก็จะไม่อยากนอนผักผ่อนเลยเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็น แล้วถ้าทุกคนต่างทำงานหรือก็ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้ตลอดทั้งวัน บางคนก็คงเผลอไม่ได้นอนทีละหลายๆวัน แล้วก็คงจะมีเด็กนอนหลับในห้องเรียนแทนที่บ้าน หรือมีอุบัติเหตุตามท้องถนนมากมาย ถ้าเราหาความสุขกันโดยไม่คำนึงถึงสภาพร่างกายๆ เราก็จะทรุดโทรมอ่อนแอซักแค่ไหน 

ถ้าพ่อแม่และลูกๆต่างแยกกันไปไม่มีเวลามืดค่ำแล้วครอบครัวเราจะได้มาเจอกันตอน 
ไหน ปัญหาที่เกิดจากไม่มีเวลาให้กันและกันในและความไม่สนใจกันและกันของคนในสังคมทุกวันนี้ อยากทำอะไรตามใจ นี่แหละคือต้นเหตุของปัญหาใหญ่ที่เราเจอในสังคมตอนนี้” 

ลูก “แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีเมื่อต้องอยู่ในความมืดล่ะครับ?” 

พ่อ “ถ้าลูกสังเกตจะพบว่าช่วงเย็นๆค่ำๆเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวเราจะได้มาเจอกันพร้อมหน้าทานอาหารได้พูดคุยได้ดูทีวีพร้อมกัน คุยกัน ปรึกษากัน ทำให้ครอบครัวอบอุ่นเพราะได้อยู่ใกล้ชิดกัน 

ก่อนนอนก็ เป็นช่วงเวลาของความสงบเงียบเป็นเวลาที่เราจะได้อยู่กับ 
ตัวเองอย่างแท้จริงหลังจากที่เราไปทำหน้าที่ของตนเอง ต้องผ่านเรื่องราวมากมายทั้งดีและร้าย ลูกต้องตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิทำใจให้บริสุทธิ์ให้จิตเป็นกุศล ปล่อยวางสิ่งไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความเกลียดชัง ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลาย ออกไปจากใจของเรา ลูกจะได้ไม่สั่งสมเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในอดีตให้มาทำร้ายจิตใจ ฝึกสติให้ว่องไว เพื่อที่จะรู้เท่าทันกิเลสที่จะมายั่วใจให้หลงไหล จนจิตใจต่ำดำมืดไปกับเรื่องราวทั้งร้ายและดี 

คนเราจะมีส่วนสูงแค่ไหน เป็นคนเชื้อชาติศาสนาใดเมื่อต้องล้มตัวลงนอนแล้วก็สูงไม่ต่างกัน ถึงจะมีทรัพย์สินเงินทอง มีความรู้ มียศศักดิ์อะไรมากมายก็นอนลงในที่นอนแคบๆนี้เท่านั้นเอง จงหาความสุขให้พบในใจของตัวเอง อย่าคิดพึ่งพาใคร หรือวัตถุสิ่งใด อย่าคิดว่าใครหรืออะไรจะมาช่วยเราให้มีความสุขได้จริง อย่าทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือด ใช้สติ ใช้ปัญญาเพื่อสิ่งดีๆให้แก่ตัวเองและผู้อื่น มีศรัทธามั่นคงในความดีในศาสนาที่ตัวเองนับถือ ใช้ชีวิตลูกด้วยความพอดีชีวิตลูกก็จะพบแต่ความสุข และจะได้นอนหลับฝันดีทุกๆวันตลอดไป” 

ลูก “ครับพ่อ เด็กน้อยฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำให้นอนหลับลงได้ในที่สุด” 

พ่อ “หลับฝันดีนะลูกรักของพ่อ” 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น